บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ทั้งโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 28 เม.ย.นี้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย จึงได้สรุปข้อมูลที่สำคัญจากแบบไฟลิ่ง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน

1.ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย

ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่งบริษัทย่อยประกอบธุรกิจหลักได้แก่ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ทั้งโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ รวมไปถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ…We Build Happiness”

2.ขายไอพีโอ 206 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.07%

เสนอขายหุ้นทั้งหมดจำนวนไม่เกิน 206,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 27.07 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้

3.เคาะราคาไอพีโอ 9.82 บาท คิดเป็น P/E ที่ 8.54 เท่า

กำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอที่ 9.82 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ที่ 8.54 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิที่ 1.57 บาทต่อหุ้น ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ตามงบการเงินปี 63 (1 ม.ค.-31 ธ.ค.63) ซึ่งเท่ากับ 873.90 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 555 ล้านหุ้น (Pre-IPO Dilution) เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิที่ 1.15 บาทต่อหุ้น หากพิจารณากำไรสุทธิต่อหุ้นที่คำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 761 ล้านหุ้น (Post-IPO Dilution)

เทียบ P/E Ratio ของบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันเฉลี่ยที่ 11 เท่า
บริษัทที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัท ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 9 บริษัท

บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์  (LPN) มี P/E Ratio เท่ากับ  10.06 เท่า
บมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) มี P/E Ratio เท่ากับ 9.39เท่า
บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) มี P/E Ratio เท่ากับ 6.07 เท่า
บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) มี P/E Ratio เท่ากับ 7.10 เท่า
บมจ. ริชี่ เพลซ 2002 (RICHY) มี P/E Ratio เท่ากับ 11.21 เท่า
บมจ. ไซมิส แอสเสท (SA) มี P/E Ratio เท่ากับ 16.12 เท่า
บมจ. เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) มี P/E Ratio เท่ากับ 5.07 เท่า
บมจ. ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (ALL) มี P/E Ratio เท่ากับ 8.62 เท่า
บมจ. เจ้าพระยามหานคร (CMC) มี P/E Ratio เท่ากับ 26.51 เท่า

ขายหุ้นไอพีโอ : ทั้งหมดไม่เกิน 206,000,000 หุ้น คิดเป็น 27.07% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
มีจำนวนหุ้นหลังเสนอขายไอพีโออยู่ที่ 761 ล้านหุ้น
เข้าจดทะเบียนด้วยวิธี : เกณฑ์กำไรสุทธิ (Profit Test)
มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) :  1.00 บาท/หุ้น
มูลค่าทางบัญชี : 4.14 บาท/หุ้น ณ 31 ธ.ค.63
เข้าซื้อขายใน : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 28 เม.ย.64
หมวดธุรกิจ : อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง / พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด
ผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย : บล.เอเซีย พลัส,บล.กรุงศรี,บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ,บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) และบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)

สัดส่วนการเสนอขายหุ้น
กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของกลุ่มบริษัท 12.80 ล้านหุ้น
บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 142.40 ล้านหุ้น
ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ 30.80 ล้านหุ้น
นักลงทุนสถาบัน 20 ล้านหุ้น

4.มีนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

บริษัทฯ มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในแต่ละปี ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่น

5.นำเงินระดมทุนพัฒนาโครงการต่อ-ชำระคืนเงินกู้

วัตถุประสงค์การใช้เงิน

6.อัตรากำไรสุทธิอยู่ 20.59% (สิ้นธ.ค.63)

รายได้และกำไรสุทธิของ ASW ตั้งแต่ปี 61-63 เป็นดังนี้

ปี 61 ปี 62 ปี 63
รายได้(ลบ.)  4,358.70 2,630.72 4,228.09
กำไรสุทธิ(ลบ.)  556.60   297.07  870.75
อัตรากำไรสุทธิ(%)   12.77 11.28   20.59

 

7.มี D/E อยู่ที่ 2.55 เท่า

ASW มีระดับ D/E ณ สิ้นปี 63 อยู่ที่ 2.55 เท่า

งบแสดงฐานะการเงิน  ณ สิ้นธ.ค.63 ดังนี้
สินทรัพย์รวม : 8,160 ลบ.
หนี้สินรวม : 5,863.31 ลบ.
ส่วนของผู้ถือหุ้น : 2,296.69 ลบ.
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) : 2.55 เท่า
อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) : 11.59%
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) : 43.40%

8.หลังไอพีโอ ครอบครัววิพันธ์พงษ์ ยังถือหุ้นใหญ่ 69.82%

หลังจากการเสนอขายหุ้นไอพีโอแล้ว ครอบครัววิพันธ์พงษ์ ยังคงสัดส่วนถือหุ้นใหญ่ 69.82% โดยมีสัดส่วนถือหุ้นหลังไอพีโอดังนี้

9.สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period จำนวน 84.13 ล้านหุ้น คิดเป็น 11.06%

สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด silent period: จำนวน 84,131,800หุ้น คิดเป็นร้อยละ 11.06  ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

 

ที่มา: สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

- Advertisement -