คุมโควิดสูงสุด18 จว.รอประเมิน 2 สัปดาห์ หวั่นจีดีพีพลาดเป้าโต4%

ศบค.สั่งคุมโควิดขั้นสูงสุดใน 18 จังหวัด กทม. – ปริมณฑล – หัวเมืองใหญ่ ให้ร้านสะดวกซื้อปิด 5 ทุ่ม-ร้านอาหารนั่งได้แค่ 3 ทุ่ม เริ่มใช้ 2 สัปดาห์ ตั้งแต่ 18 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ก่อนประเมินสถานการณ์อีกครั้ง  นายกฯ ย้ำชัดเจน ไม่มีเคอร์ฟิว ฟากรองนายกฯ หวั่นระบาดรอบนี้ อาจทำจีดีพีไม่ถึงเป้าที่คาดโต 4% ฟากโบรกฯ คาด 3 เดือนจะกลับเป็นปกติ

* นายกฯ ยันยังไม่เคอร์ฟิว ย้ำหาวัคซีนจากรัสเซีย-สหรัฐเพิ่ม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ว่า  รัฐบาลไม่มีการประกาศเคอร์ฟิว หรือล็อคดาวน์ แต่อาจจำกัดเวลาการทำกิจกรรม/กิจกรรม เพราะจะมีผลกระทบต่อประชาชน เจ้าหน้าที่เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19

ส่วนการจัดหาวัคซีน มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยล่าสุดได้ติดตามไปทางรัสเซีย ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อจัดหาวัคซีน สปุตนิก วี และ วัคซีนไฟเซอร์ จากสหรัฐอเมริกา ขึ้นอยู่กับการเจรจาว่าจะจัดหาได้มากน้อยเท่าไร โดยคาดหวังจะฉีดให้ประชาชนได้อย่างน้อย 60% ของประชากรทั้งประเทศ

“เราติดต่อไปแล้วทั้งสปุตนิก วี จากรัสเซีย ชิโนฟาร์ม ไบโอเทค ไฟเซอร์ ขึ้นอยู่ว่าเขาจะขายหรือไม่ขาย ที่ผ่านมามีปัญหาตอนช่วงนั้นติดต่อไม่ได้ทั้งหมด เพราะต้องไปร่วมทุนกับเขาด้วย ซึ่งเป็นเงินมหาศาล แต่โชคดีที่แอสตร้าฯ จำเป็น เป็นโครงการต่อเนื่อง ถือเป็นความโชคดีของเรา มิ.ย.นี้ก็จะมีมากขึ้นก็จะฉีดให้ได้อย่างน้อย 60%

 

* ให้ 18 จ.เป็นพื้นที่สีแดง – วอนงดออกจากบ้านหลัง 5 ทุ่ม

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. ได้แถลงมาตรการยกระดับการควบคุมโรคโควิด-19 และปรับโซนสีของพื้นที่ เป็นระยะเวลา 14 วัน หรือ 2 สัปดาห์  นับตั้งแต่ข้อกำหนดประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้ หรือ ตั้งแต่เวลา 00.00 น.ของวันที่ 18 เม.ย. 64 จนถึงวันที่ 30 เม.ย. 64 หลังจากนั้นจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง

โดยได้แบ่งออกเป็น โซนสีแดง หรือ พื้นที่ควบคุมสูงสุด จำนวน 18 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม ภูเก็ต นครราชสีมา นนทบุรี สงขลา ตาก อุดรธานี สุพรรณบุรี สระแก้ว ระยอง และขอนแก่น และโซนสีส้ม หรือ พื้นที่ควบคุมขั้นสูง จำนวน 59 จังหวัดที่เหลือ

ทั้งนี้ขอความร่วมมือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่โซนสีแดง 18 จังหวัด ห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 23.00 น. จนถึงเวลา 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น และให้ลดการเดินทาง หรือ เดินทางเท่าที่จำเป็น

* คุมร้านสะดวกซื้อ- ร้านอาหาร ปิดสถานบันเทิง

ทางด้านห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารปิดให้บริการเร็วขึ้น ส่วนร้านสะดวกซื้อให้ปิดในเวลาไม่เกิน 23.00 น. ดังนี้

1.ปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ อาบอบนวด ทุกจังหวัด

2.ร้านอาหาร นั่งรับประทานในร้านได้ งดจำหน่ายและงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจังหวัดพื้นที่โซนสีแดง 18 จังหวัด เปิดไม่เกินเวลา 21.00 น. และจังหวัดพื้นที่โซนสีส้ม 59 จังหวัดที่เหลือเปิดไม่เกิน 23.00 น.

  1. ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เปิดให้บริการตามปกติ *ยกเว้นสวนสนุก เครื่องเล่น (จำกัดจำนวนคน งดกิจกรรมส่งเสริมการขาย)
  2. สถานศึกษาทุกระดับ สถาบันกวดวิชา งดการเรียนการสอนในห้องเรียน
  3. สถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ยิม ฟิตเนส เปิดให้บริการปกติ แข่งขันได้โดยจำกัดผู้ชม/ผู้เล่น

โดยให้ทุกจังหวัดห้ามจัดกิจกรรมที่มีคนรวมกลุ่มกันเกิน 50 คน และ ห้ามจัดกิจกรรมงานเลี้ยง สังสรรค์ ยกเว้นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน

นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน Work from Home ให้มากที่สุด และปฏิบัติตามมาตรการองค์กร DMHTT คือ การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย 100% ล้างมือบ่อยๆ ตรวจวัดอุณหภูมิ และสแกนไทยชนะและหมอชนะ แยกกันรับประทานอาหาร สำหรับผู้ที่เดินทางไปต่างจังหวัด ขอความร่วมมือ Work from Home เพื่อสังเกตอาการระยะเวลา 14 วัน

 

*  “สุพัฒนพงษ์ ” รับระบาดรอบนี้อาจกระทบเป้าจีดีพีที่คาดโต 4%

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การระบาดของโควิด-19 รอบนี้มีโอกาสกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน มีผลกระทบต่อเป้าหมายอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่รัฐบาลตั้งไว้ 4%

ส่วนผลกระทบต่อแผนเปิดประเทศวันที่ 1 ก.ค.64 ยังคงต้องประเมินกันแบบรายวัน  แต่ยังยืนยันว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังทำงานเช่นเดิม โดยเฉพาะการปฏิบัติการเชิงรุกในการดึงดูดนักลงทุน  เพราะภาคธุรกิจกังวลเรื่องความมั่นใจในการควบคุม และสถิติผู้ติดเชื้อมาก เพื่อไปประเมินต่อการตัดสินใจว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร

“การระบาดรอบนี้ อาจจะกระทบต่อเป้าจีดีพี 4% ที่ตั้งไว้ แม้การส่งออกยังดีก็ตาม แต่เราจะกระตุ้นการบริโภคในประเทศเพิ่ม เช่น นำเงินฝากของประชาชนออกมาจับจ่ายมากขึ้น ส่วนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็ยังคงเดินหน้าต่อ ” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

 

* โบรกฯ คาดใช้เวลา 3 เดือน กว่าจะกลับเป็นปกติ

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที  จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มการแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ว่า  จะต้องใช้เวลาประมาน 3 เดือนจากปัจจุบัน ที่สถานการณ์จะกลับมาสู่ระดับใกล้เคียงปกติ ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น  เช่นปิดสถานบันเทิง หรือจำกัดเวลา ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และงดจัดกิจกรรมที่มีคนมารวมตัวกันจำนวนมาก

ดังนั้นการระบาดรอบ 3 นี้ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนลดลง การท่องเที่ยวในประเทศและการเปิดประเทศจะต้องชะลอตัวออกไป ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวช้ากว่าคาด

 

* คัดหุ้นได้ – เสีย รับระบาดระลอก 3

ทั้งนี้ทาง บล.เคทีบีเอสที ได้ประเมินว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว หุ้นกลุ่ม Healthcare จะ outperform SET เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก โดยการระบาดครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน เนื่องจากการะบาดที่กระจายไปทั่วในกลุ่มคนชั้นกลางและสูงในกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ๆ  ทำให้มีผู้ขอเข้ารับการตรวจ COVID-19 เพิ่มขึ้นมาก และมีจำนวนผู้ติดโควิดจำนวนมากที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล และทำให้ภาครัฐจะอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนนำวัคซีนมาฉีดให้ประชาชน เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว โดย หุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์บวกมากได้แก่ BCH, THG, EKH

สำหรับหุ้น ที่คาดว่าจะ outperform จาก COVID-19 รอบ 3

1) Healthcare: BCH, THG, EKH

2) IT Distributor: COM7, SYNEX, SIS

3) Finance: KTC, AEONTS

4) Insurance: TQM

5) Logistic: III, JWD

6) Other: TM, MEGA, STGT, STA

 

ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะ underperform จาก COVID-19 รอบ 3

1) Tourism: ERW, CENTEL, MINT

2) Aviation & Airport: AAV, BA, AOT

3) Bank: KBANK, SCB

4) Commerce: CRC, BJC

5) Industrial estate: AMATA, WHA

6) Ground transportation: BEM, BTS

7) Gas station: PTG, ESSO, OR, BCP, SUSCO

8) Others: SPA, MAJOR

 

ที่มา: สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

- Advertisement -