หุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ร้อนแรงสุดขีด รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ผู้ประกอบการเร่งซื้อสินค้ากักตุน ดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งแรงถ้วนหน้า นำโดย ราคาน้ำมัน-เหล็ก-น้ำตาล-ถั่วเหลือง-น้ำมันปาล์ม-ยางพารา พร้อมช่วยดันค่าระวางเรือขนส่งพุ่งทำนิวไฮในรอบ 11 ปี หนุนหุ้นเดินเรือทะยาน ด้านโบรกฯส่อง 15 หุ้นเด่นเกาะกระแสโภคภัณฑ์ขาขึ้น
*** ส่อง 15 หุ้นเด่น รับราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่ง
บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซียพลัส เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity )โลก ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นหลายบริษัทของไทย หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกในปีนี้ว่าจะเติบโต 6% จากฐานที่ต่ำในปี 63 ปี ประกอบกับนโยบายการคลังสหรัฐ ทั้งอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ และ แผน Infrastructure ระยะยาว 8 ปีวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงการเร่งฉีดวัคซีน โควิด-19 ในประเทศสำคัญ อาทิ อังกฤษ สหรัฐ ฯลฯ เร็วกว่าที่คาด
ปัจจัยเหล่านี้ เป็นปัจจัยหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หลายๆตัว ทั้งราคาน้ำมัน ค่าระวางเรือ (BDI) ราคาน้ำตาล ฯลฯ ซึ่งยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น สะท้อนจากผลตอบแทนของ นับตั้งแต่ต้นเดือน ปัจจุบัน (MTD) และ ผลตอบแทน นับตั้งแต่ต้นปี- ปัจจุบัน (YTD) ขณะที่วานนี้(22 เม.ย.)ราคาน้ำตาลโลกปรับเพิ่มขึ้นทำ New high ในรอบ 4 ปี เช่นเดียวกับ BDI
ทั้งนี้ หากพิจารณาคำแนะนำการลงทุนในหุ้นแต่ละกลุ่มที่เกี่ยวกับ Commodity แนะนำดังนี้
*** กลุ่มน้ำมัน
ประเมินช่วงสั้นราคาน้ำมันปรับลงติดต่อกัน 2 วัน เนื่องจาก กังวลเรื่องโควิดในอินเดีย และ EIA เมื่อวานรายงานสต็อกน้ำมันดิบออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด แต่ราคาน้ำมันในระยะถัดไปประเมินไม่ได้ปรับตัวลงแรง ประกอบกับพื้นฐานแข็งแกร่งทั้ง จึงให้หาจังหวะลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว
หุ้นแนะนำ PTT ราคาเป้าหมาย 48.5 บาท และ PTTEP ราคาเป้าหมาย 128 บาท
*** กลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี
หุ้นแนะนำซื้อ PTTGC ราคาเป้าหมาย 65 บาท เนื่องจากให้น้ำหนักไปที่ธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ ที่ยังคงแข็งแกร่ง แต่แนะนำ Switch หุ้น TOP ราคาเป้าหมาย 55 บาท , BCP ราคาเป้าหมาย 26 บาท, และ IRPC ราคาเป้าหมาย 3.4 บาท โดยประเมินว่า พื้นฐานโดยรวมยังอ่อนแอจากธุรกิจโรงกลั่นตามค่าการกลั่นที่ยังอยู่ระดับต่ำมาก ซึ่งยังคงแนะนำเพียง trading ช่วงสั้น
***กลุ่มเหล็ก
ทิศทางราคาเหล็กที่ยังเป็นช่วงขาขึ้นน่าจะทำให้ผลประกอบการของบริษัท เหล็กยังดีต่อเนื่องใน 64 เพราะล่าสุดเดือน เม.ย.64 ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อน (HRC)ในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการบริโภคเหล็กครึ่งหนึ่งของโลกยังมีทิศทางอันร้อนแรงต่อเนื่องราคาขายเพิ่มขึ้น 17% MoM มาที่ 865 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดือนก่อนหน้า 740 เหรียญ สหรัฐ/ตัน จึงมีโอกาสที่จะเห็นแรงเก็งกำไรได้อีก
หุ้นแนะนำ : MCS (ราคาเป้าหมาย 21.9 บาท) และ TMT (ราคาเป้าหมาย B11 บาท) ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ส่วนบริษัทเหล็กอื่นๆที่ฝ่ายวิจัยไม่ได้ Cover แนะนำเก็งกำไรตามราคาเหล็ก
*** กลุ่มเดินเรือ
ปัจจุบันดัชนีระวางเรือเทกอง BDI ขยับตัวเพิ่มจากสัปดาห์ก่อนขึ้นเป็น New High พร้อมทั้ง Drewry Hong Kong-LossS Angeles Container Rate ปรับตัวขึ้น 4.3% จากสัปดาห์ก่อนหน้า อันเกิดจากความต้องการขนส่งสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูงอีกทั้งก่อนหน้านี้ปัญหาที่คลองสุเอชยังทำให้ระบบการเกินเรือเกิดความล่าช้ากว่าปกติ ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มเดินเรือ เช่น TTA, PSL, และ RCL
หุ้นแนะนำ WICE ราคาเป้าหมาย 8 บาท จะได้รับงานจัดการขนส่งระหว่างประเทศในระดับสูง เชื่อระยะสั้น Q1/64 กำไรจะเติบโตสดใส ขณะที่แนวโน้มค่าระวางเรือปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูง แม้จะกดดัน Gross Margin แต่จะชดเชยได้จาก Volume งานขนส่งที่มากขึ้น
*** กลุ่มเกษตร-อาหาร
ราคาสุกรหน้าฟาร์มล่าสุดอยู่ที่ 80 บาท/ก.ก. ปรับเพิ่มขึ้น 11.1%นับตั้งแต่ต้นปี 64 โดยราคาสุกรหน้าฟาร์มเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 64 อยู่ที่ 78.3 บาท/ก.ก.ปรับเพิ่มขึ้น 9.5% yoy สูงกว่าสมมติฐานราคาสุกรหน้าฟาร์มปี 64 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ ที่ 70 บาท/ก.ก. จากปัญหาสุกรชาดแคลนในภูมิภาคเอเชีย จากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกา ถือเป็นผลบวกต่อธุรกิจฟาร์มสุกร
หุ้นแนะนำ ซื้อ CPF ราคาเป้าหมาย 42 บาท และ TFG ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท
ส่วนราคาไก่เป็นล่าสุดอยู่ที่ 32 บาท/ก.ก. ทรงตัวนับตั้งแต่ต้นปี 64 โดยราคาไก่เป็นเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 64 อยู่ที่ 32.0 บาท/ก.ก. ปรับลดลง 4.4% yoy ต่ำกว่าสมมติฐานราคาไก่เป็นปี 64 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 34 บาท/ก.ก. เล็กน้อย จากปัญหาไก่ลั้นตลาด ถือเป็นผลสบต่อธุรกิจฟาร์มไก่
หุ้นแนะนำ ซื้อ GFPT ราคาเป้าหมาย 14 บาท
ราคาวัตถุดิมทูน่าเดือนมี.ค.64 ล่าสุดอยู่ที่ 1.36 พันดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน เพิ่มขึ้น 3.6% mom โดยราคาวัตถุดิบทูน่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 64 อยู่ที่ 1.28 พันดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ปรับลดลง 7.4% yoy ดีกว่าสมมติฐานราคาไก่เป็นปี 64 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 1.5 พันดอลลาร์สหรัฐ / ตัน ถือเป็นผลบวาต่อธุรกิจแบรนด์ทูน่า หุ้นแนะนำซื้อ TU ราคาเป้าหมาย 20 บาท
*** กลุ่มถั่วเหลือง
ราคากากถั่วเหลืองโลกล่าสุดอยู่ที่ 1.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ปรับลดลง 0.8% นับตั้งแต่ต้นปี 64 โดยราคากากถั่วเหลืองเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 64 อยู่ที่118.4 ดอดลาร์ดหรัฐ/ตัน ปรับเพิ่มขึ้นถึง 30.3% yoy โดยราคากากถั่วเหลืองในไทยเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 64 อยู่ที่ 19.0 บาท/ก.ก. เพิ่มขึ้นถึง 20.0% yoy สูงกว่าสมมติฐานราคากากถั่วเหลืองปี 64 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 16 บาท/ก.ก. จากปัญหาภัยแล้งในบราซิลและอาร์เจนติน่า ถือเป็นผลลบต่อธุรกิจฟาร์มไก่ของ GFPT TFG และ CPF ประเมินว่าผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์ จะสามารถปรับสูตรอาหารสัตว์และเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรด้านอื่น ช่วยลดผลกระทบไปได้บางส่วน หุ้นแนะนำ ซื้อ TVO ราคาเป้าหมาย 37 บาท
*** กลุ่มน้ำตาล
ราคาน้ำตาลดิบล่าสุดอยู่ที่ 16.65 เซ็นต์/ปอนด์ ปรับเพิ่มขึ้นถึง 19.0%นับตั้งแต่ต้นปี 64 จากปัญหาภัยแล้งในบราซิลและไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่สุดและอันดับ 5 ของโลก โดยราคาน้ำตาลดิบเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 63/64 (สิ้นงวดบัญชีต.ค. 14.66 เซ็นต์/ปอนด์ ปรับเพิ่มขึ้น 15.0% yay และเมื่อรวมกับ Thai premium ที่ 64) อยู่ที่ราว 1.5 เซ็นต์ปอนด์
ราคาน้ำตาลดิบเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 2553/54 อยู่ที่ 16.2 เซ็นต์เปอนด์ยังสอดคล้องกับสมมติฐานราคาน้ำตาลดิบปี 64 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 17 เซ็นต์/ปอนต์ทั้งนี้ ราคาน้ำตาลที่ปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการน้ำตาลไทยสามารถขายน้ำตาลได้สูงขึ้น ถือเป็นผลบวกต่อธุรกิจน้ำตา หุ้นแนะนำซื้อ KSLราคาเป้าหมาย 3.7 บาท
*** กลุ่มยางพารา
ราคายางแผ่นล่าสุดอยู่ที่ 2.18 พันดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ปรับลดลง 2.0% นับตั้งแต่ค้นปี 64 แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง โดยราคายางแผ่นเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 64 อยู่ที่ 2.31 พันดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ปรับเพิ่มขึ้นถึง 30.7% yoy ยังสอดคล้องกับสมมติฐานราคายางปี 64 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 2.20 พันดอลลาร์สหรัฐฯ / ตัน
ราคายางแท่งล่าสุดอยู่ที่ 1.62 พันดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ปรับเพิ่มขึ้น 6.0% นับตั้งแต่ต้นปี 64 โดยราคา ยางแท่งเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 64 อยู่ที่ 1.66 พันดอลลาร์สหรัฐฯตัน ปรับเพิ่มขึ้นถึง 26.1 % yoy ยังสอดคล้องกับสมมติฐานราคายางแห่งปี 64 ที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ 1.60 พันดอลลาร์สหรัฐ/ตัน จากความต้องการใช้สูงขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ถือเป็นผลบวกต่อธุรกิจยางพารา
หุ้นแนะนำซื้อ STA ราคาเป้าหมาย 60 บาท และ NER ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท
*** บล.โนมูระฯ มองหุ้นโภคภัณฑ์ เป็นขาขึ้นตลอดไตรมาส 2/64
นายกรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า หุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ กำลังกลายเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากได้รับอานิสงส์หลักจากราคา Commodity โลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก
ประกอบกับบางประเทศเริ่มมีการออกนโยบายที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยังผ่อนคลายนโยบายทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งราคาน้ำมัน,เหล็ก,น้ำมันปาล์ม,ถั่วเหลือง,น้ำตาล และค่าระวางเรือ ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่ายังอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไปทั้งช่วงไตรมาส 2/64 ซึ่งหากกลุ่มไหนยังยืนได้แข็งแกร่งก็คาดว่าจะยังเห็นภาพเป็นบวกได้ยาวต่อเนื่อง
สำหรับหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ฝ่ายวิจัยแนะนำ ได้แก่ 1.กลุ่มถั่วเหลือง คือ TVO แนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 42 บาท 2.กลุ่มน้ำตาล คือ KSL แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 3.60 บาท,กลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี ได้แก่ SCC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 440 บาท, PTTGC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 85 บาท,IRPC แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 4.50 บาท และ4.กลุ่มเดินเรือ แนะนำซื้อเก็งกำไร TTA และ PSL
*** บล.ยูโอบี มองราคาโภคภัณฑ์ ยังทรงตัวสูงช่วง 6 เดือนแรกปีนี้
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินว่า ราคาสินค้ากลุ่มโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาหลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 จึงทำให้มีข้อจำกัดของอุปทาน แต่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว ประกอบกับอีกส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้เกิดการซื้อเพื่อกักตุนล่วงหน้าหรือเก็งกำไร จึงทำให้ภาพของราคาสินค้ากลุ่มโภคภัณฑ์น่าจะปรับตัวขึ้นยาวไปจนถึงช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังต้องมาประเมินอีกครั้งว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่ เนื่องจากสินค้าบางกลุ่มเริ่มมีอัพไซด์ที่เริ่มจำกัดหรือปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่บริษัทแนะนำเข้าลงทุนในช่วงนี้คือ SCC โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 500 บาท และ IRPC ราคาเป้าหมายที่ 4.50 บาท
ที่มา: สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย