บริษัทวายแอลจีบูลเลี่ยนแอนด์ฟิวเจอร์ส
ทองคำ
1,787 1,774 1,766
1,815 1,831 1,846
ข่าวสารสําคัญเพื่อประกอบการลงทุน (เพิ่มเติมช่วงบ่าย)
สรุป ราคาทองคำช่วงเช้าแกว่งตัวในกรอบ 1,795.60-1,805.56 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำเผชิญแรงขายทำกำไร แต่การร่วงของราคาอยู่ในระดับจำกัด หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปีเคลื่อนไหวไม่ไกลจากระดับต่ำสุดรอบ 4 เดือน โดยเช้านี้อยู่ที่ 1.316% ยิ่งกดดันให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ติดลบหนักขึ้นล่าสุดติดลบที่ระดับ -0.95% สร้างแรงดึงดูดให้กับทองคำ ท่ามกลางความวิตกจากการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าที่เร่งขึ้นทั่วโลกและในสหรัฐ รวมไปถึง รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ประจำเดือนมิ.ย.
โดยรวมเฟดบ่งชี้ว่ายังไม่บรรลุ ‘substantial progress’ ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเริ่มกลับมาดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงิน แต่ในอีกทางหนึ่ง ดอลลาร์ได้แข็งค่าขึ้นอย่างมากจากแรงซื้อสกุลเงินปลอดภัย จึงทำให้ทองคำถูกแรงขายสลับออกมา อย่างไรก็ตาม ด้านค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างมาก แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 14 เดือนครั้งใหม่บริเวณ 32.49 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าและปัจจัยภายในประเทศกดดัน ทั้งยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในไทยที่เพิ่มขึ้นกว่า 7,000 ราย รวมทั้ง หนังสือพิมพ์นิกเคอิจัดทำดัชนีฟื้นตัวจากโควิด-19 บ่งชี้ว่า ประเทศไทยติดอันดับเกือบท้ายตาราง 118 จากกว่า 120 ประเทศและดินแดน ฟื้นตัวต่ำสุดในอาเซียน ส่งผลหนุนราคาทองคำในประเทศ
ปัจจัยทางเทคนิค
แนวโน้ม Gold Spot:
แม้ว่าแรงขายจะลดลงแต่แรงช้อนซื้อสลับเข้ามาก็ไม่มาก หากราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือ 1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ อาจมีผลให้ราคาปรับตัวลงเพื่อสะสมกำลัง หากราคาทองย่อตัวลงมาพยายามทรงตัวเหนือระดับ 1,787-1,774 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ มีโอกาสเกิดแรงซื้อดันราคาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน:
เน้นการเก็งกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว โดยเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลงมาใกล้ 1,787-1,774 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด 1,774 ดอลลาร์ต่อออนซ์) หรือ หากถือครองทองคำอยู่แล้วอาจเลือกแบ่งทองคำออกขายทำกำไรหากราคาไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,815-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน
(+) โควิดสายพันธุ์เดลตาเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐ-พบผู้ติดเชื้อกว่า 50% ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐคาดการณ์จากการจำลองข้อมูลว่าโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา (Delta) จากอินเดียกลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐแล้ว โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 51.7% ของยอดผู้ติดเชื้อของสหรัฐในรอบ 2 สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 ก.ค. แทนที่สายพันธุ์อัลฟา (Alpha) จากอังกฤษ ซึ่งมีสัดส่วนลดลงเหลือ 28.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ หลายรัฐในสหรัฐกำลังเผชิญปัญหาผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้น และผู้ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลพุ่งสูงขึ้น ขณะโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในประเทศ
โดยขณะนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในทุกรัฐ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมากต่อผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน พร้อมเชิญชวนให้ชาวอเมริกันรีบฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของสายพันธุ์นี้ เมื่อเดือนพ.ค. ปธน.ไบเดนตั้งเป้าฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสแก่ผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 70% ภายในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐ แต่มีเพียง 18 รัฐ และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เท่านั้นที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
สถานีโทรทัศน์เอบีซี รายงานว่า 30% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐไม่ได้เข้ารับการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และไม่มีแผนที่จะฉีดวัคซีน โดยในบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน 73% ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของสหรัฐกล่าวเกินจริงเกี่ยวกับความเสี่ยงของไวรัสสายพันธุ์เดลตา และ 79% คิดว่าพวกเขามีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีโอกาสที่จะป่วยด้วยโรคโควิด-19 เลย
(+) โอลิมปิกเกมส์โตเกียวส่อไร้คนดู หลังรัฐบาลจ่อประกาศภาวะฉุกเฉินรอบใหม่ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมประกาศภาวะฉุกเฉินรอบใหม่ในพื้นที่กรุงโตเกียวโดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. – 22 ส.ค. ซึ่งจะครอบคลุมถึงช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงโตเกียว เป็นเจ้าภาพในระหว่างวันที่ 23 ก.ค. – 8 ส.ค. หลังจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในญี่ปุ่นยังคงรุนแรง
นายยาซุโตชิ นิชิมูระ รัฐมนตรีที่ดูแลด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเป็นผู้รับผิดชอบการรับมือการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในญี่ปุ่น กล่าวว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินในครั้งนี้เป็นผลมาจากผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่มีสัดส่วนการระบาดในประเทศอยู่ที่ 30%
โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นนั้นมาจากการที่ประชาชนได้ออกเดินทางมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงวันหยุดฤดูร้อนเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา จากแนวโน้มของการประกาศภาวะฉุกเฉิน ทำให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกอาจถูกจัดขึ้นโดยไม่มีผู้ชม โดยฝ่ายจัดการแข่งขันยืนยันว่าจะจัดการแข่งขันต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้ได้กำหนดยอดผู้ชมสูงสุดที่ 10,000 คน ต่อ 1 สนาม หรือ 50% ของความจุสนามทั้งหมด แต่รัฐบาลต้องการให้ลดจำนวนผู้ชมลงมาอยู่ที่ 5,000 คนต่อ 1 สนาม ก่อนที่รัฐบาลเตรียมที่จะประกาศภาวะฉุกเฉินในวันนี้
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะมีอนุญาตให้มีผู้ชมในสนามหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการประชุม 5 ฝ่าย ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) คณะกรรมการจัดการแข่งขันและรัฐบาลญี่ปุ่น รวมถึงฝ่ายบริหารกรุงโตเกียว โดยคาดว่่าการประชุมจะมีภายในสัปดาห์นี้
(+) ไทยฟื้นตัวโควิด‘ต่ำสุดอาเซียน’ หนังสือพิมพ์นิกเคอิจัดทำดัชนีฟื้นตัวจากโควิด-19 ไทยติดอันดับเกือบท้ายตาราง 118 จากกว่า 120 ประเทศและดินแดน ต่ำสุดในอาเซียน ดัชนีการฟื้นตัวจากโควิด-19 ที่หนังสือพิมพ์นิกเคอิของญี่ปุ่นจัดทำขึ้น วัดจากกว่า 120 ประเทศ/ดินแดน อันดับสูงหมายถึง ประเทศ/ดินแดนนั้นใกล้ฟื้นตัวเต็มที เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันแล้วต่ำ อัตราการฉีดวัคซีนดี และ/หรือมาตรการรักษาระยะห่างเข้มงวดลดลง
ทั้งนี้ ไทยอยู่ในอันดับ 118 คะแนนรวม 26 คะแนน ต่ำกว่ามาเลเซีย ที่อยู่ในอันดับ 114 คะแนนรวม 29 คะแนน อินโดนีเซีย อันดับ 110 (31 คะแนน) ฟิลิปปินส์ อันดับ 108 (32 คะแนน) เวียดนามและกัมพูชาครองอันดับ 100 ร่วมกัน (34 คะแนน) ลาว อันดับ 66 (48 คะแนน) ที่สุดของอาเซียนคือ สิงคโปร์ อันดับ 12 (65 คะแนน) ส่วนที่หนึ่งของตารางตกเป็นของ จีน 76.5 คะแนน ตามด้วย มอลตา (76 คะแนน) อันดับ 3 โปแลนด์ (69 คะแนน) อันดับ 4 อิตาลี (68 คะแนน) อันดับ 5 ออสเตรีย (67.5 คะแนน)
(+/-) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผันผวน-จับตาโควิดระบาดในภูมิภาค ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผันผวนในเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,557.22 จุด เพิ่มขึ้น 3.50 จุด หรือ +0.09%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 28,332.63 จุด ลดลง 34.32 จุด หรือ -0.12% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,881.50 จุด ลดลง 79.12 จุด หรือ -0.28%
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมพิจารณาประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงโตเกียวอีกครั้ง โดยคาดว่าจะมีผลไปจนถึงวันที่ 22 ส.ค.นี้ ซึ่งจะครอบคลุมช่วงเวลาจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในกรุงโตเกียว โดยการตัดสินใจของรัฐบาลจะส่งผลกระทบต่อการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมมหกรรมกีฬาในสนาม
ที่มา : อินโฟเควสท์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, The Standard และ Efinancethai