รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์การลงทุน
SET Index ลงต่อ รอสัญญาณซื้อรอบใหม
Top Pick เลือก BDMS, NER, MCS
ความกังวลเรื่อง Covid-19 ต่อตลาดการเงินโลกกลับมาอีกครั้ง ผลักดันให้ Fund Flow เคลื่อนเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย กดดันราคาหุ้น และ Bond Yield ให้ลดต่ำลง ส่วนในประเทศวันนี้ให้ความสำคัญกับการประชุม ศบค. ว่าจะกำหนดมาตรการ Lockdown ในระดับที่เข้มงวดเพียงใด

ทั้งนี้จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่าในช่วงก่อน-เริ่มต้น Lockdown ในรอบที่ผ่านมาจะเห็น SET Index ปรับลดลงราว 4-6% แต่หลังจากนั้นจะสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้ แต่ในรอบนี้ภายใต้ระดับความเชื่อมั่นที่ลดต่ำลง การฟื้นตัวกลับของตลาด จึงอาจต้องให้เห็นผลบวกจากมาตรการก่อน เช่น เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ ต่ำกว่า จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหาย ต่อเนื่องระยะหนึ่ง

คาด SET Index ยังปรับลงได้ต่อ พอร์ตจำลองวานนี้ Cut Loss หุ้น TFG ซึ่งมีน้ำหนัก 5% ของพอร์ตออกไป ให้นำเงินเข้าลงทุนเพิ่มใน MCS 5% หุ้น Top Pick เลือก BDMS, NER, MCS เหมือนเดิม

Sentiment จากตลาดหุ้นต่างประเทศเมื่อคืน คาดกดดัน SET Index ในวันนี้
สินทรัพย์เสี่ยงถูก Take Profit อีกครั้ง สะท้อนจากเมื่อคืนตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรปปรับลงราว 0.8%-2% โดยถูกกดดันจาก 1.) ตัวเลขยอดขอรับสวัสดิการในสหรัฐเพิ่มขึ้น 2 พันราย ขึ้นมาอยู่ที่ 3.73 แสนราย สูงกว่าที่ตลาดคาด 3.5 แสนราย 2.) ผู้ติดเชื้อ Covid รายใหม่หลายประเทศทั่วโลก ปรับเพิ่มขึ้นทำ New High และมีการประกาศ Lockdown หรือ เข้มงวดกิจกรรมเศรษฐกิจ อาทิ ญี่ปุ่น ประกาศภาวะฉุกเฉินกรุงโตเกียวครั้งที่ 4 , เวียดนาม Lockdown โฮจิมินห์14วัน

โดยรวมสร้างแรงกดดันตลาดหุ้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า สินทรัพย์ปลอดภัยจะเป็นที่พักเงินในช่วงนี้ สะท้อนจาก Bond Yields สหรัฐ อายุ 10 ปีปรับลงต่อต่ำกว่า 1.3% (ราคาพันธบัตรขึ้น Yield จะปรับลง)

ASPS ประเมิน Sentiment จากตลาดหุ้นต่างประเทศน่าจะสร้างแรงกดดันต่อ SET Index ในวันนี้ รวมถึงในประเทศที่ยังมีปัจจัยกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาอยู่ที่ 9276 คน และต้องรอผลประชุมของ ศบค. และรัฐบาลจะ ดำเนิน Lockdown ในระดับที่เข้มงวดเพียงใด (รายละเอียดดัง Paragraphด้านล่าง) ประเมินกรอบ SET index ในวันนี้ แนวรับ 1510/1535 จุด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ในหลายประเทศทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นทำ High กดดันตลาด

วันนี้ให้น้ำหนัก การประชุม ศบค. ชี้ขาด Lockdown
ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้คาดยังคงถูกกดดันจากความกังวลจำนวนผู้ติดเชื้อที่แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความกังวลการมากลับดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด (คล้ายการ Lockdown ช่วง 2Q63) ดังนี้

จำนวนผู้ติดเชื้อของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งผู้รายใหม่ (New case) เพิ่มขึ้นสูง และผู้ที่อยู่ระหว่างรักษา (Active case) (ดังรูป) และล่าสุดช่วงเช้าที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 9,276 ราย

 การเดินหน้าฉีดวัคซีนแม้จะมีความคืบหน้า สะท้อนจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนกลัยมาเพิ่มขึ้น แต่ยังค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มเร็วกว่า

การพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดมาตรการควบคุมการระบาด วันนี้ให้น้ำหนักการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ว่าจะมีการพิจารณาเพิ่มความเข้มงวดมาตรการควบคุมการระบาดอย่างไร หลังกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มเติมจากมาตรการเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2564 ที่ผ่านมา

เช่น จำกัดการเดินทางข้ามจังหวัดหรือพื้นที่, ปรับเวลาเปิด-ปิดสถานที่เสี่ยง เช่น ห้างสรรพสินค้าอาจเลื่อนเวลาปิดเร็วขึ้น จากเดิมที่ 21.00, ปรับเวลาให้บริการขนส่งสาธารณะ เป็นต้น (ดังรูป) ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำว่า ”มาตรการจะเข้มข้นไม่น้อยกว่าช่วง เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา”

ท่ามกลางปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยข้างต้น ASPS ให้น้ำหนักกับการพิจารณาความเข้มงวดมาตรการควบคุม เพราะอิงจากที่กระทรวงสาธารณสุขระบุว่ามาตรการมีโอกาสเข้มข้นไม่น้อยกว่าช่วง เม.ย. 2563 ซึ่งมีนัยว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวคล้ายกับช่วง 2Q63 ที่ผ่านมาได้ ดังที่เคยนำเสนอไปในบทวิเคราะห์วานนี้

ว่าการ Lockdown อาจส่งผลให้ GDP ไทยปี 2564 พลิกติดลบได้ ซึ่งจะเป็นการสร้าง Downside ต่อเศรษฐกิจ และแรงกดดันต่อตลาดหุ้นของไทยต่อไป โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มการเงิน-ธนาคาร, ก่อสร้าง, ท่องเที่ยว, ขนส่ง, ค้าปลีก ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัด เช่น กลุ่มส่งออก, พลังงาน, ICT, โรงพยาบาล เป็นต้น

ค้นหากลุ่มหุ้นแกร่งหลัง Lockdown ยังชอบ MCS NER BDMS
ความกังวลประเด็น COVID-19 แพร่ระบาดเร็ว รวมถึงประเด็น Lockdown กดดัน SET Index ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ปรับฐานลงมา 51 จุด หรือ 3.2% ถ้าเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต ช่วงก่อน Lockdown จะปรับตัวลงประมาณ 4-6% ถือว่ายังมี Downside จากเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ โดยฝ่ายวิจัยประเมินแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญอยู่ที่ 1510 จุด

นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯยังทำการวิเคราะห์ให้ลึกลงไป เพื่อเตรียมหุ้นที่มักจะฟื้นตัวเร็วหลังเหตุการณ์ Lockdown โดยการเปรียบเทียบผลตอบแทนในช่วงกับเหตุการณ์ Lockdown สมุทรสาคร (SET -6.34%) กับความกังวลก่อนมีมาตรการแบ่งโซนสี (SET -4.79%) ได้ผลลัพธ์ดังนี้

1. กลุ่มหุ้นที่มักปรับตัวลงแรงก่อนในช่วงที่กังวล แต่ก็ฟื้นเร็วเช่นกันหากการควบคุมเห็นผลได้เร็ว (High Risk High Return) ส่วนใหญ่ คือ กลุ่มที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการ Reopening หลังจากออกมาตการคุมเข้ม 1 เดือนแล้วฟื้นได้เร็ว คือ ETRON, PETRO, FIN, CONS, MEDIA, FOOD และ TOURISM แต่ปัจจุบันหากนักลงทุนต้องการลงทุนกลุ่มดังกล่าว จะต้องจับจังหวะในการฟื้นให้ดี เพราะถ้าการแพร่ระบาดยืดเยื้อ อาจกดดันหุ้นกลุ่มดังกล่าวให้ฟื้นช้ากว่าในอดีต

โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คือ กลุ่มที่ Outperform ที่สุดจากสถิติอดีต โดยปัจจุบันมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีทั้งในด้านกำไรที่คาดจะยังเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งได้รับ Sentimentบวกจากทิศทางเงินบาทที่อ่อนค่าลง อย่างไรก็ตามด้วย Valuation ที่แพงเกินมูลค่าพื้นฐานไปแล้ว จึงแนะนำเพียงเก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น นำโดย KCE (FV@B60) และ HANA (FV@B46)

2. กลุ่มหุ้นที่มีผลประกอบการดี มักจะ Outperform ได้โดดเด่น หลังเหตุการณ์ Lockdown จากการค้นหาพบว่ามีหุ้น 18 บริษัทที่ฝ่ายวิจัย Cover และ Outperform เด่นทั้งในช่วง 1 สัปดาห์ และ 1 เดือน หลัง Lockdown

ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงคัดหุ้นน่าลงทุน จากหุ้นที่เคยฟื้นเร็วหลัง Lockdown ในอดีต เสริมด้วยผลประกอบการมีโอกาสเติบโตโดดเด่นสวนทางตลาดในช่วงที่เหลือของปีนี้ ได้ผลลัพธ์หุ้นฟื้นตัวเร็วหลัง Lockdown น่าลงทุน 6 บริษัท คือ

สรุปตลาดหุ้น ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ในห่วงของความไม่แน่นอนจากประเด็น Covid-19 และมาตรการ Lockdown ครั้งนี้ความเสี่ยงและความเร็วในการแพร่ระบาดสูงกว่าในอดีต ดังนั้นแนะนำเก็บเงินสดบางส่วนราว 20 –30% เตรียมกลับมาลงทุนในยามที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทยอยลดลง หรือกลับมาอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ที่รักษาหาย

ส่วน Toppick วันนี้ยังชอบหุ้นปลอดภัยมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว BDMS (หุ้นโรงพยาบาลเป็นหุ้น Defensive ที่เหมาะสมในเวลานี้ ได้แรงหนุนจากยอดตรวจ รักษา และความ
ต้องการฉีดวัคซีนที่เร่งตัวขึ้น), NER (เป็นหุ้นส่งออกที่กำไร 2Q64 เติบโตโดดเด่น หนุนด้วยบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง) รวมถึง 1 ใน 6 หุ้นที่มีโอกาสฟื้นเร็วหลัง Lockdown อย่าง MCS (หุ้นผันผวนต่ำ ปันผลสูง กำไร 2Q64 เติบโตโดดเด่น ได้แรงหนุนเพิ่มจากค่าเงินบาทต่อเยนอ่อนค่า)

- Advertisement -