SET Index อยู่ในกรอบ 1555 – 1585 จุด Top Pick เลือก GPSC, LALIN และ SAPPE

แม้ภาพสถานการณ์ Covid-19 ในประเทศจะยังรุนแรง แต่ดูเหมือน Sentiment เชิงลบท่ีเข้ามากระทบตลาดหุ้นจะเบาลง อย่างไรก็ตามต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดโดยยังมีโอกาสท่ี SET Index จะผันผวนบนเรื่องดังกล่าวได้อยู่เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของจํานวนผู้ป่วยท่ีอยู่ระหว่างการรักษา และ ผู้ป่วยหนัก สําหรับมาตรการเยียวยารอบใหม่เห็นว่าโครงสร้างหลักไม่แตกต่างจากรอบการปิดแคป์แรงงานมากนัก น้ําหนักน่าจะเป็นเพียงการพยุงเศรษฐกิจระยะสั้น และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อทิศทางของ SET Index ส่วน เรื่องที่ต้องติดตามต่อไป น้ําหนักน่าจะกลับไปท่ีท่าทีของ Fed หลังจากที่เมื่อคืนประกาศตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าคาด

ประเมินว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1555 – 1585 จุด พอร์ต จําลองวันน้ียังไม่มีการปรับเปลี่ยน โดยให้คงน้ําหนักเงินสดไว้ที่ 10% ส่วนหุ้น Top Pick เลือก GPSC, LALIN และ SAPPE

ส่งออก-นําเข้าจีน, เงินเฟ้อสหรัฐ ขยายตัวสูงกว่าคาด เพิ่มโอกาส Fed ลด QE ?

สัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกปรากฏให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวานนี้ 2 ประเทศหัวเรือใหญ่ของโลก (จีนและสหรัฐ) มีการรายงานดัชนีเศรษฐกิจสําคัญออกมาแข็งแกร่ง คือ

  • ยอดส่งออกของจีนเดือน มิ.ย. 2564 เมื่อวานนี้ออกมาขยายตัว 32.2%yoy (ขยายตัวต่อเนื่องเดือนท่ี 13) สูงกว่าตลาดคาดท่ี 23.1% เช่นเดียวกับยอดนําเข้าในเดือนเดียวกันขยายตัว 36.7%yoy (ขยายตัวต่อเนื่องเดือนท่ี 10) สูงกว่าตลาดคาดท่ี 30% เช่นกัน การส่งออก และการนําเข้าของจีนท่ีดีกว่าคาด ตอกย้ำถึงภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้การฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศของจีนมีแนวโน้มส่งผลให้การส่งออกของไทยฟื้นตัวตามไปด้วย (ไทยส่งออกไปจีนสูงเป็นอันดับ 2 สัดส่วน 14% ของการส่งออกรวม) ประเมินเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก เช่น NER, STA, TU, TFG, SAT, MCS, ส่วน KCE, DELTA, HANA ราคาหุ้นสูงกว่า Fair Value จึงแนะเพียงเก็งกําไร
  • อัตราเงินเฟ้อสหรัฐเดือน มิ.ย. 2564 ขยายตัวสูงกว่าคาด โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยายตัว 5.4%yoy (ตลาดคาด 4.9%), อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมพลังงานและอาหารสด) ขยายตัว 4.5%yoy (ตลาดคาด 4%) อัตราเงินเฟ้อที่สูงกระตุ้นความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีโอกาสพิจารณาลดวงเงิน QE (QE Tapering) ในลําดับถัดไปได้ ซึ่งจะกดดันให้ตลาดหุ้นขาดแรงหนุนจาก Fund Flow สอดคล้องกับที่ ASPS เคยนําเสนอว่าความกังวล QE Tapering เป็น 1 ใน 3 ด่านที่ SET Index ต้องเผชิญในช่วง 3Q64 ควบคู่ไปกับการระบาดของ COVID-19 และ Downside ของกําไรบริษัทจดทะเบียน

อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นให้น้ําหนักการแถลงต่อสภาคองเกรสของนาย Jerome Powell ประธาน Fed ในวันท่ี 14-15 ก.ค. 2564 ว่าจะมีการส่งสัญญาณเพิ่มหรือไม่ ขณะท่ีระยะถัดไปให้น้ําหนักการประชุม Fed 27-28 ก.ค. 2564 และการประชุม Jackson Hole Symposium 26-28 ส.ค. 2564 โดย ตลาดคาดว่า Fed น่าจะส่งสัญญาณปรับนโยบายการเงินเพิ่มเติม

มาตรการพยุงการบริโภค 4.2 หมื่นล้านบาทที่ออกมา Sentiment บวกต่อกลุ่มค้าปลีก

ผลกระทบจากออกมาตรการเข้มงวดจํากัดกิจกรรมเศรษฐกิจใน 10 จังหวัดของรัฐบาล เร่ิมจากปิดแคมป์คนงาน 1 กค. และล่าสุด ประกาศคุมเข้มระยะเวลาถึง 26 ก.ค. ผลกระทบแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ผลบวก (+) คาดจะจํากัดการแพร่ระบาด Covid และทํา ให้แนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลงได้ คาดเป็นบวกต่อ SET index ในอนาคต แต่อีกทาง คือ ผล ลบ (-) กระทบต่อการทําธุรกิจผู้ประกอบการ SMEs, บริษัทจดทะเบียนในตลาด

โดยรวมทําให้รัฐบาลจําเป็นท่ีจะต้องออกมาตราการเพื่อพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติม จากก่อนหน้าที่อนุมัติออกมาในช่วงครึ่งปีแรก (ดังรูป) โดยเมื่อวานนี้การประชุม ครม. มีมติออกมาตรการพยุงการบริโภคเพิ่มเติมออกมา แต่เฉพาะ 10 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบวงเงินรวม 4.2 หมื่นล้านบาท (ดังรูป) มาตรการไม่ได้แตกต่างจากเยียวยารอบปิดแคมป์คนงาน แต่เพิ่มรายละเอียดผู้ได้รับสิทธิ

ASPS ประเมินผลจากมาตรการดังกล่าว หลักๆ คือ

  • ผลต่อเศรษฐกิจไทยปี 2564 เนื่องจากลักษณะมาตรการท่ีไม่ได้อัดฉีดเงินโดยตรง เน้นลดค่าใช้จ่าย คาดเป็นการพยุงเศรษฐกิจมากกว่า และน่าจะบวกต่อการบริโภคทางอ้อม
  • ผลต่อ SET Index : ASPS ประเมินเพียง Sentiment บวก ไม่ได้มีผลบวกขับเคลื่อนตลาดหุ้นอย่างมีนัยยะ
  • ผลต่อบริษัทจดทะเบียน : ASPS ประเมินบวกต่อกลุ่มค้าปลีก ประเมินผู้ที่น่าจะได้ผลบวกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) ธุรกิตค้าปลีกท่ีจะได้ผลบวกบรรเทาค่าใช้จ่ายโดยตรง คือ CRC, ILM และ COM7 ท่ีอาจต้องมีการปิดบางสาขาของ บริษัท และ 2) ผลบวกทางอ้อมจากกําลังซื้อท่ีน่าจะยังประคองตัวได้ เชื่อว่าเป็นบวกต่อท้ังกลุ่มฯ ทั้งน้ี แม้สัดส่วนเม็ดเงินไม่สูง แต่ประเมินเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มฯ กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นเน้นหุ้นค้าปลีกที่ยังมี แนวโน้มการเติบโต อาทิ DOHOME, COM7, SPVI ส่วนการลงทุนระยะยาว ยังชอบ BJC, MAKRO, CPALL

SET Index ฟื้นตัวได้แข็งแรงข้ึน หากผู้ป่วยอาการหนักลดลง

SET Index มักจะทยอยฟื้นตัวหลังจากมีการ Lockdown เสมอ ด้วยความคาดหวังตัวเลขผู้ติดเชื้อมีโอกาสทยอยลดลงจากมาตรการต่างๆ เช่นเดียวกับวานนี้ SET Index รีบาวน์แรง 21.5 จุด หรือ 1.36% อย่างไรก็ตามการขยับขึ้นของดัชนียังคงเป็นลักษณะท่ีผันผวนอยู่หากตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลงอย่างมีนัยฯ

ในอีกแง่มุมนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ให้ความสําคัญกับตัวเลขผู้ติดเชื้อท่ีกําลังรักษาอยู่ (Active Case) รวมถึงตัวเลขผู้ป่วยอาการหนัก (Serious Case) ด้วย สะท้อนได้จาก “หากประเทศไหนมีจํานวนผู้ป่วยรักษาตัวอยู่เพิ่มขึ้นเร็ว และย่ิงเป็นผู้ป่วยอาการหนัก ตลาดหุ้นประเทศนั้นมักจะ Underperform กว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น”

ดังน้ันข้อมูลจํานวนผู้ป่วยจาก COVID-19 รวมถึงผู้ป่วยอาการหนัก นักลงทุนจําเป็น จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากส่งผลต่อขีดความสามารถในการรักษาพยาบาล และมีโอกาสเห็นรัฐทยอยผ่อนคลายมาตการคุมเช้ม

สรุปคือ หากตัวเลขผู้มีอาการหนักลดลง จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการ รักษาพยาบาล และมีโอกาสเห็นรัฐทยอยผ่อนคลายมาตการคุมเช้ม ช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวในอัตราการผันผวนท่ีน้อยลง และจะกลับมาฟื้นตัวได้โดดเด่น เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อต่อวันลดลงจนต่ำกว่าตัวเลขผู้รักษาหายต่อวัน เมื่อนั้นน่าจะเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติกลับมาหนุนหุ้นไทยอย่างมีนัยฯอีกคร้ัง และถือเป็นจุดกลับตัวที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทย ตามท่ีเคยนําเสนอเปรียบเทียบกับประเทศอินเดีย

กลยุทธ์วันน้ีภายใต้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง บวกกับรอดูท้อยแถลง ของประธาน Fed ในคืนนี้ ว่าจะส่งสัญญาณลดระดับ QE ได้เร็วขึ้นหรือไม่ คาด SET Indexเคลื่อนไหว 1555 – 1585 จุด กลยุทธ์แนะนําหุ้นพื้นฐานดีผันผวนต่ำ GPSC, LALIN รวมถึงท่ีมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว SAPPE เป็น Toppick ในวันนี้

SAPPE (FV @ 35.00) RBF เผยได้ใบอนุญาตผลิต (ปลูก) และ สกัดน้ํามันจากเมล็ด กัญชง จากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คาดสร้าง Sentiment เชิง บวกอย่างต่อเนื่องให้กับกลุ่มเดียวกัน แนวโน้มกําไรปกติ 2Q64 เติบโต QoQ และ YoY จากยอดขายฟื้นตัวตามตลาดส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง, ยุโรปและ อเมริกา ที่มีสัดส่วนการกระจายวัคซีน COVID-19 สูง ในขณะที่ Gross Margin เพิ่ม ตามการประหยัดจากขนาดและการบริหารต้นทุน

LALIN (FV @ 11.40) คาดกําไรปกติ 3 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2566) เติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี โดยปี 2564 ประเมินกําไรปกติ 1.32 พันล้านบาท (+9% yoy) สอดคล้องกับยอด โอนฯ 6.2 พันล้านบาท (+8% yoy) หนุนจากโครงการใหม่ที่จะเปิดปีนี้รวม 10-12 โครงการ มูลค่า 6-7 พันล้านบาท อีกทั้ง Valuation ยังโดดเด่น ที่มี PER ซื้อขายต่ำ กว่า 7 เท่า, Net Gearing ต่ำสุดในกลุ่มฯ ที่ 0.26 เท่า และคาด Div Yield 6% ต่อปี (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)

GPSC (FV @ 82.00) คาดทิศทางกําไรปกติงวด 2Q64 จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจาก 1Q64 จากรายได้ขายไฟฟ้าให้กับทางภาครัฐ (EGAT) ที่คาดจะเพิ่มขึ้น รวมถึงค่า K- Factor ในกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดจะปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงฤดูกาล โดยล่าสุด GPSC ประกาศเข้าซื้อหุ้น 41.6% ในบริษัท Avaada Energy Private Limited (“Avaada”) ประเทศอินเดีย เพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ คาดเป็นการต่อยอดฐานกําไรในระยะยาวในธุรกิจโรงไฟฟ้า และช่วยต่อยอดความเชี่ยวชาญในการประกอบการ ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมูลค่าทางพื้นฐานอยู่ที่ 82.00 บาท มี Upside สูงประมาณ 10% ซึ่งยังไม่รวมโครงการดังกล่าว

 

- Advertisement -