บล.เอเซียพลัส:
เข้าซื้อโรงไฟฟ้า solar อินเดีย 1.6 พัน MWe ปรับเพิ่ม FV เป็น 86.5 บาท/หุ้น
GPSC ประกาศเข้าซื้อหุ้น 41.6% ในบริษัท Avaada, อินเดีย เพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้า solar กําลังการผลิตรวมตามสัดส่วนการถือหุ้น 1.6 พันMWe แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 579.1 MWe และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 978.4 MWe โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับทางภาครัฐ 25 ปี และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมราว 10-15 ปี มูลค่าลงทุนราว 1.5 หมื่นล้านบาท แหล่งเงินทุนมาจากเงินกู้ยืมจาก PTT 50% และ เงินทุนหมุนเวียนของ GPSC อีก 50%
ประเมินมูลค่าพื้นฐานของโครงการดังกล่าวอยู่ท่ี 4.5 บาท/หุ้น ส่งผลให้ FV ใหม่ ณ ส้ินปี 2564 อยู่ท่ี 86.5 บาท/หุ้น (เดิม 82.00 บาท/หุ้น) แนะนําทยอยสะสมลงทุนรับการเติบโตในระยะยาว
เข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้า Solar อินเดีย 41.6% กําลังการผลิต 1.6 พัน MWe
GPSC ประกาศเข้าซื้อหุ้น 41.6% ในบริษัท Avaada Energy Private Limited (“Avaada”) ประเทศอินเดีย เพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กําลังการผลิตตามสัดส่วนท่ี GPSC ถือหุ้นอยู่ท่ี 1.6 พัน MWe แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าท่ี COD แล้ว 579.1 MWe และอยู่ระหว่างก่อสร้างราว 978.4 MWe ซึ่งจะทยอย COD ภายในปี 2564-65 ล้านบาท โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับทางภาครัฐ 25 ปี และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมราว 10-15 ปี โดยโครงการนี้มีสัดส่วนสัญญาขายไฟฟ้าให้กับส่วนงานของทางรัฐบาลอินเดียกว่า 88% ส่วนท่ีเหลือขายไฟฟ้าให้แก่ทางกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอีกราว 12% ซึ่งแสดงถึงความ มั่นคงของสัญญาในระยะยาว โดยมูลค่าเงินลงทุนโครงการราว 1.5 หมื่นล้านบาท ในครั้งนี้มาจากเงินกู้ยืมจาก PTT ในสัดส่วน 50% และอีก 50% มาจากเงินทุนหมุนเวียนของ GPSC
ท้ังน้ี กําลังการผลิตตามสัดส่วนผู้ถือหุ้นของโครงการดังกล่าวคิดเป็น 30.8% ของกําลังการผลิตทั้งหมด 5.1 พัน MWe ท่ี GPSC มีอยู่ โดยหลังจากรวมโครงการ solar ประเทศอินเดียแล้ว จะส่งผลให้ GPSC มีกําลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.6 พันเมกะวัตต์ และมีสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจาก 12% มาอยู่ที่ 32% ซึ่งถือเป็นไปตาม แผนกลยุทธ์ของ GPSC และเป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่ม ปตท.ในการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนให้ถึง 8.0 พันเมกะวัตต์ภายใน 10 ปีข้างหน้า
โดยผู้บริหารเผยเหตุผลในการลงทุนประเทศอินเดียว่า ถือเป็นอีกหนึ่งในกลุ่มประเทศ เป้าหมายของ GPSC โดยมีเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มีอัตราการเติบโตของ GDP และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงมาก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในประเทศท่ีมีค่าความเข้าแสงที่สูง จึงเหมาะกับการลงทุนในโรงไฟฟ้า solar และมีต้นทุนท่ีต่ำกว่าการลงทุนในโรงไฟฟ้าแบบอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่ตั้งเป้าหมายเพิ่ม กําลังการผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมให้ได้ 4.5 แสนเมกะวัตต์ ภายในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 7.3 หมื่นเมกะวัตต์
ประเมินมูลค่าโครงการปี 2564 อยู่ท่ี 4.5 บ./หุ้น ส่งผลให้ FV ใหม่อยู่ท่ี 86.5 บ./หุ้น
ฝ่ายวิจัยประเมินโครงการดังกล่าวภายใต้สมมติฐานอัตราซื้อขายไฟฟ้าสําหรับโครงการท่ี COD แล้วอยู่ที่ 1.5 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง และสําหรับโครงการท่ีอยู่ระหว่างก่อสร้างอยู่ท่ี 1.4 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถือว่าต่ำกว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วไป ที่มีอัตราซื้อขายไฟฟ้าที่ราว 3 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าว มีCAPEX ท่ีเพียง 5 แสนเหรียญสหรัฐ/เมกะวัตต์ หรือราว 15 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ซึ่งถืงว่าถูกกว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วไปที่อยู่ท่ีราว 1 ล้านเหรียญ/เมกะวัตต์ หรือราว 30 ล้านบาท/เมกะวัตต์ โดยกําหนดให้ D/E ของโครงการดังกล่าวอยู่ที่ 75/25 และกําหนดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่ 9.5% ในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยกําหนดสมมติฐานให้โครงการ ดังกล่าวมี EBITDA margin เฉลี่ย 86.0% และ Ner Profit margin เฉลี่ย 30.3% ซึ่งให้ EIRR ในแต่ละโครงการอยู่ท่ีราว 12-13% และคาดจะสร้างกําไรให้กับทาง GPSC เฉลี่ย ราว 1 พันล้านบาท/ปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าโครงการ ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 4.5 บาท/หุ้น ส่งผล ให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ ณ สิ้นปี 2564 ของ GPSC อยู่ที่ 86.5 บาท/หุ้น (เดิม 82.00 บาท/ หุ้น)
ทั้งน้ีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 978.4 MWe โดยฝ่ายวิจัยกําหนดให้มีโครงการ ที่ COD ภายในปี 2564-65 ที่ปีละ 800 MWe และ 178.4 MWe ตามลําดับ โดยมีจํานวนวันที่เปิดดําเนินการเชิงพาณิชย์ที่ 93 วัน และ 227 วันตามลําดับ ส่งผลให้ในปี 2564 GPSC รับรู้กําไรจากโครงการโรงไฟฟ้า solar อินเดียทั้งหมดราว 157.6 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่มีนัยฯโดยคิดเป็นเพียงราว 1.2% ของกําไรปกติทั้งปี 2564 อีกทั้งคาดจะมีค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจาก PTT ในการลงทุนครั้งนี้อีกราว 92.7 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยจึงคงประมาณการปี 2564 ไว้ดังเดิมและสําหรับปี 2565-66 คาดทาง GPSC จะรับรู้กําไรจากโครงการดังกล่าวที่ราว 447.8 ล้านบาท และ 563.9 ล้านบาท และคาดจะมีการชําระดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจาก PTT ที่อัตรา ดอกเบี้ย 2.5%/ปี ที่ 123.5 ล้านบาท และ 61.8 ล้านบาท ตามลําดับ ส่งผลให้ ปี 2565- 66 คาดกําไรปกติเพิ่มขึ้น 3.7%yoy และ 5.0%yoy มาอยู่ที่ 8.8 พันล้านบาท และ 9.4 พันล้านบาท ตามลําดับ
ประเด็นความเสี่ยง
1) โครงการโรงไฟฟ้าท่ีกําลังก่อสร้างอาจไม่สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตามแผน (Construction risk)
2) การหยุดซ่อมฉุกเฉินของโรงไฟฟ้า (Unplanned shutdown)
3) ความเสี่ยงจากความผันผวนของ Fx และอัตราดอกเบี้ย เพราะ GPSC มีสูตรการคิดราคาค่าไฟและกู้เงินลงทุนโรงไฟฟ้า บางส่วนด้วยสกุลเงินต่างประเทศ
แนะนํา : ซื้อ
ราคาปัจจุบัน (บาท) 78.75
ราคาเป้าหมาย (บาท) 86.5
Upside (%) 9.84
Dividend Yield (%) 1.60