บล.เอเซียพลัส:

ทิศทางกําไรยังโตต่อเนื่องใน 2Q64

คาดกําไรสุทธิงวด 2Q64 จะเติบโตต่อเนื่องตามการขยายสาขา หนุนแนวโน้มสินเชื่อเติบโต และการเน้นควบคุมค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งนี้ คาดกําไรสุทธิงวด 2H64 ยังดีต่อเนื่อง จากความต้องการใช้สินเช่ือเติบโตตามฤดูกาล

แนวโน้มกําไรสุทธิปี 2564-65 จะเติบโต 26% yoy และ 28% yoy จาก แนวโน้มสินเชื่อและรายได้ค่านายหน้าประกันภัยเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังต้องติดตามประเด็นการปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยจากธนาคารแห่ง ประเทศไทยอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบต่อ TIDLOR จํากัด จึงยังบริหารจัดการได้ ราคาหุ้นปรับฐานไปกว่า 18% ในรอบ 2 เดือน สะท้อนความกังวลเก่ียวกับการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเช่ือ จํานําทะเบียนและเศรษฐกิจชะลอตัวไปมากแล้ว จึงยังแนะนํา ซื้อ

ทิศทางกําไร 2Q64 จะเติบโตต่อเนื่องตามการเติบโตของสินเชื่อ

คาดกําไรสุทธิงวด 2Q64 เท่ากับ 822 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% qoq และ 192.8% yoy มีปัจจัยสนับสนุนจาก

1) คาดสินเชื่อสุทธิงวด 2Q64 จะเติบโต 4.0% qoq มาที่ 5.5 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับการขยายสาขาเพิ่มข้ึน 65 สาขา เป็น 1.2 พันสาขา และ TIDLOR ได้เงินระดมทุนจาก IPO เข้ามา 7.7 พันล้านบาท ทําให้มีความพร้อมในการปล่อยสินเช่ือมากขึ้น หนุนสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อจํานําทะเบียนรถจักรยานยนต์ จากการท่ีลูกค้าใช้บัตรติดล้อในการกดเงินสด (สินเช่ือ) มากขึ้น

2) คาด Spread เฉลี่ยงวด 2Q64 เท่ากับ 15.1% ปรับเพิ่มข้ึนจาก 15.0% ในงวด 1Q64 จากแนวโน้ม Yields เฉลี่ยงวด 2Q64 ปรับเพิ่มขึ้นมาท่ี 18.0% จาก 17.8% ในงวด 1Q64 จากแนวโน้มสินเชื่อจํานําทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสินเช่ือท่ีมี Yield สูง ขณะท่ีคาด Cost of fund เฉลี่ยงวด 2Q64 จะทรงตัวท่ีระดับ 2.9%

3) แนวโน้มสัดส่วน Cost to income ratio งวด 2Q64 เท่ากับ 57.5% ลดลงจาก 61.4% ในงวด 1Q64 จากแนวโน้มค่าใช้จ่ายในการโฆษณาลดลง และผลบวกจากการประหยัดต่อขนาดหักล้างผลกระทบจาก

1) แนวโน้ม credit cost งวด 2Q64 ปรับเพิ่มขึ้นมาท่ี 0.8% จาก 0.2% ในงวด 1Q64 จากแนวโน้มการตั้งสํารองหนี้สูญฯเพิ่มข้ึน สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวและความสามารถในการชําระหน้ีของลูกหน้ีบางกลุ่มลดลงจากการระบาดของโควิดรอบใหม่ และ

2) แนวโน้มรายได้อื่นงวด 2Q64 ปรับลดลง 6.2% qoq มาที่ 518 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากแนวโน้มรายได้ค่านายหน้าประกันภัยลดลง เนื่องจากในเดือนเม.ย. 64 มีพนักงาน ของ TIDLOR บางส่วนติดโควิด ทําให้พนักงานบางส่วนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลและ พนักงานบางส่วนต้องทํางานที่บ้าน ส่งผลให้ขายประกันได้ลดลงชั่วคราว และลูกค้าบางรายเลื่อนการต่ออายุประกันภัยออกไปก่อนและเปลี่ยนไปใช้ประกันภัยที่ให้การคุ้มครองลดลง เช่น เปลี่ยนจากประกันภัยช้ัน 1 เป็น ชั้น 2 หรือ 3 เป็นต้น เพราะใช้รถยนต์ลดลงจากการทํางานท่ีบ้าน

โดยรวมแล้ว คาดการณ์กําไรสุทธิงวด 1H64 เท่ากับ 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 63.5% yoy คิดเป็น 53% ของประมาณการกําไรสุทธิปี 2564 ท่ีฝ่ายวิจัยประเมินไว้

ยังติดตามประเด็นการปรับลดเพดานดอกเบี้ยสินเช่ือรายย่อยอย่างใกล้ชิด

สําหรับประเด็นข่าวเกี่ยวกับการธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาปรับลดเพดานอัตรา ดอกเบี้ยรายย่อยท่ีมีเพดานอัตราดอกเบี้ยเกิน 20% ลง 1-2% จากปัจจุบัน ได้แก่ สินเชื่อ บุคคล (เพดานอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน 25%) สินเชื่อจํานําทะเบียน (เพดานอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน 24%) และสินเชื่อนาโน (เพดานอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน 33%) ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบต่อ TIDLOR จํากัด เพราะปัจจุบัน TIDLOR คิดดอกเบี้ยสินเชื่อจํานําทะเบียนส่วนใหญ่ต่ำกว่าเพดานพอสมควรอยู่แล้ว โดย Yields เฉลี่ยของ TIDLOR ปัจจุบันอยู่ที่ราว 18% แบ่งเป็นสินเช่ือจํานําทะเบียนรถยนต์ (65% ของสินเชื่อรวม) คิดอัตราดอกเบี้ยท่ีราว 17-21% สินเชื่อจํานําทะเบียนรถบรรทุก (23% ของสินเช่ือรวม) คิดอัตราดอกเบี้ยท่ีราว 9-15% และสินเช่ือจํานําทะเบียนรถจักรยานยนต์ (12% ของสินเช่ือ รวม) คิดอัตราดอกเบี้ยท่ีราว 23-24% ใกล้เคียงเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเช่ือจํานําทะเบียน ปัจจุบันที่ 24% ทําให้กลุ่มสินเชื่อท่ีรับผลกระทบจะอยู่ที่สินเชื่อจํานําทะเบียน รถจักรยานยนต์ แต่ TIDLOR มีสินเช่ือในกลุ่มดังกล่าวไม่มาก

ทั้งน้ี ฝ่ายวิจัยได้ทํา Sensitivity Analysis ว่า ทุกๆการปรับลด Yields สินเชื่อจํานําทะเบียนรถจักรยานยนต์ลง 1% (โดย Yields สินเช่ือจํานําทะเบียนรถยนต์และรถบรรทุก และสมมติฐานอื่นไม่เปลี่ยนแปลง) จะส่งผลกระทบต่อประมาณการกําไรสุทธิปี 2564 (4 เดือน) ของ TIDLOR ให้ลดลง 0.7% จากปัจจุบัน และจะกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิ ปี 2565 ของ TIDLOR ให้ลดลง 2.1% จากปัจจุบัน

ทิศทางกําไรสุทธิปี 2564-65 จะเติบโตโดดเด่น

คงประมาณการ คาดกําไรสุทธิปี 2564-65 จะเติบโต 25.5% yoy และ 28.4% yoy จาก แนวโน้มการเติบโตของสินเช่ือสุทธิปี 2564-65 ท่ี 16.2% yoy และ 16.8% yoy และ แนวโน้มสัดส่วน Cost to income ปี 2564-65 ปรับลดลง จากการประหยัดต่อขนาด

ทั้งน้ี คาดกําไรสุทธิงวด 3Q64 ยังดีเนื่องจากงวด 2Q64 จากแนวโน้มสินเช่ือเติบโตต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงจากการนําเงินท่ีได้จากการะดมทุน IPO บางส่วนไปชําระหน้ี แต่จะถูกชดเชยด้วยแนวโน้ม Credit cost สูงขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว ผลกระทบจากการระบาดของโควิด

ราคาปรับฐานสะท้อนความเสี่ยงไปมากแล้ว…มองเป็นโอกาสลงทุน

กําหนด FV ปี 2564 เท่ากับ 44 บาท อิง PBV 4.7 เท่า ตามวิธี Gordon Growth Model ที่ ROE เฉลี่ยระยะยาว 20.0% ราคาหุ้นปรับฐานไปกว่า 18% ในรอบ 2 เดือน สะท้อน ความกังวลเก่ียวกับการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจํานําทะเบียนไปมากแล้ว จึง ยังแนะนําซื้อ

ประเด็นความเสี่ยง

  1. สินเชื่อสุทธิเติบโตต่ำกว่าคาด จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มรายได้และกําไรสุทธิของ TIDLOR
  2. คุณภาพสินทรัพย์และแนวโน้มการเกิด NPL ใหม่ๆ
  3. อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น
  4. กฎหมายและข้อบังคับจากภาครัฐ

แนะนํา : ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 41.00

ราคาเป้าหมาย (บาท) 44.00

Upside (%) 7.32

Dividend Yield (%) 0.64

 

- Advertisement -