คาดกลุ่มธนาคารจะกลับมามีแรงซื้อ เน้นเก็งกำไรระยะสั้น

Investment Ideas:

  • ภาพรวมการลงทุน – เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,560-1,585 จุด ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่ยังไม่คลี่คลายหลังสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อจานวนผู้เสียชีวิต จำนวนผู้ป่วยหนัก และจำนวนผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การดำเนินการฉีดวัคซีนยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ภาครัฐฯ กำหนดไว้ ถือเป็นปัจจัยหลักท่ีกำหนดทิศทางของตลาดหุ้น หากจำนวนผู้ติดเชื้อเกิน 1 หมื่นรายต่อวัน จะยิ่งเป็นปัจจัยลบ แม้ SET วานนี้ (15 ก.ค.) ปรับเพิ่มขึ้น 2.31 จุด (+0.15%) แต่ผลจากราคาหุ้น DELTA ท่ีปรับเพิ่ม 78 บาท (+13.59%) มีผลต่อ SET ประมาณ 7.8 จุด ปัจจัยที่ต้องติดตามระยะสั้นอยู่ที่การประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร แม้ก่อนหน้านี้เราคาดว่าผลประกอบการ 2Q64 ของกลุ่มธนาคารจะยังอ่อนแอ แต่เราเช่ือว่าจะมีแรงซื้อกลับหุ้นในกลุ่มธนาคาร หลังราคาหุ้นตอบรับเชิงบวกไปก่อนหน้านี้ โดยนักวิเคราะห์เรายังคง Overweight หุ้นในกลุ่มธนาคาร และเลือก KBANK และ KKP เป็นหุ้นเด่น เรายังแนะนำหุ้นที่ยังได้ Sentiment เชิงบวก ในลักษณะ Selective หุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า หุ้นในกลุ่ม Logistic และหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล
  • คาดหุ้นกลุ่มธนาคารจะกลับมามีแรงซื้อ หลังสะท้อนผลประกอบการ 2Q64 ที่อ่อนแอ – วานนี้ (15 ก.ค.) รายงานกำไรสุทธิ 2Q64 ชะลอตัว 5.5%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 25.3%YoY โดย NPL Ratio อยู่ที่ระดับ 2.7% เพิ่มข้ึนจาก 1Q64 ที่ 2.5% แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ TISCO ตั้งไว้ในปี 64 ไม่เกิน 3.0% ขณะท่ีปัจจัยกดดัน เกี่ยวกับมาตรการการพักชำระหน้ีเป็นเวลา 2 เดือน ของ ธปท. ที่ได้ขอความร่วมมือจากธนาคาร นักวิเคราะห์เราประเมินผลกระทบจำกัด เราเชื่อว่าราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารที่ปรับลดลงก่อนหน้านี้สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการ 2Q64 ทำให้เราเช่ือว่าจะมีแรงซื้อกลับจากราคาหุ้นที่เริ่ม Laggard หลังราคาหุ้นในกลุ่มปรับลดลง 7%-11% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นักวิเคราะห์เรายังคง Overweight หุ้นกลุ่มธนาคาร และเลือก KBANK (ซื้อ.,ราคาเป้าหมาย 177 บาท) และ KKP (ซื้อ.,ราคาเป้าหมาย 68.5 บาท) เป็นหุ้นเด่น
  • Company Update: GPSC (ซื้อ.,ราคาเป้าหมาย98บาท) เรามีมุมมองเป็นบวกแผนการลงทุนยิ่งหนุนกำไรในปี 64-65 เติบโต 25%YoY และ 16%YoY – จากการเข้าฟังผู้บริหารในการประชุมล่าสุด โดยบริษัทเข้าซื้อโครงการดังกล่าวคิดเป็น 3.36 ล้านเหรียญต่อเมกะวัตต์ ขณะที่โครงการยังมีแผนเพิ่มกำลังผลิตอีก 2 โครงการ ขนาด 96 เมกะวัตต์ เริ่มปี 2565 และอีก 499 เมกะวัตต์ เริ่มปี 2566 โครงการมีความมั่นคงสูง จากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี การเข้าลงทุนดังกล่าวทำให้บริษัทมีสัดส่วนกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้า Renewable อยู่ท่ี 34% จากกำลังผลิตรวมท้ังหมด 6,761 เมกะวัตต์ (รวมการเข้าลงทุนในโครงการ Avaada Energy ในสัดส่วน 41.6%) – เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายของ GPSC เพิ่มขึ้นเป็น 98 บาท เรายังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อเนื่องจาก Megawatt Growth ในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้า เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 – 2565 เพิ่ม 4.5% และ 9.7% จากเดิม โดยในปี 2564 เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 1.85 บาท ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.3%
  • Earnings Preview: PTG (ซื้อ., ราคาเป้าหมาย 23.10 บาท) คาดผลประกอบการ 2Q64 ยังถูกกดดันจากโควิด-19 และปรับกำไรสุทธิปี 64-65 ลดลง – คาดกำไรสุทธิ 2Q64 ลดลง 9.7%YoY และลดลง 13.4%QoQ จากปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน 2Q64 เพิ่มข้ึน 7.0%YoY แต่ลดลง 3.4%QoQ ขณะท่ีค่าการตลาดคาดยังอยู่ในระดับ 1.86 บาทต่อลิตร ด้านธุรกิจ Non-Oil คาด 2Q64 รายได้ทรงตัว QoQ และแนวโน้มผลประกอบการ 3Q64 คาดทรงตัว ถูกกระทบจากการล็อกดาวน์ เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 64-65 ลดลง 2.3% และ 2.4% ตามลำดับ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 23.10 บาท
  • Company Update: CPALL (ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 67.0 บาท) ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น กดดันกำไรสุทธิ 2Q64 – คาดกำไรสุทธิ 2Q64 ลดลง YoY และ QoQ อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวทั้ง YoY และ QoQ แต่ภาระ ดอกเบี้ยจ่ายปรับเพิ่มขึ้น เรามองว่าการกระจายวัคซีนที่เพิ่มขึ้นหนุนผลประกอบการ 2H64 ฟื้นตัว แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 67.00 บาท
  • บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน–CompanyUpdate: CPALL และ TISCO/EarningsPreview: PTG
  • ติดตามรายงานตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจท่ีสาคัญวันนี้ – รายงานเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนียอด ค้าปลีก (Retail Sales) เดือน มิ.ย. ดัชนียอดค้าปลีกพื้นฐาน (Core Retail Sales) เดือน มิ.ย. (คาดเพิ่มข้ึน 0.3%MoM) ดัชนีความเช่ือมั่นผู้บริโภครัฐมิชิแกน (Michigan Consumer Sentiment) เดือน ก.ค. (คาดอยู่ ที่ 87.8 จุด) และความคาดหวังของผู้บริโภครัฐมิชิแกน (Michigan Consumer Expectations) เดือน ก.ค. (คาดอยู่ที่ 79.0 จุด
  • มุมมองทางเทคนิค – เราคาดว่า SET Index วันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,560-1,585 จุด หุ้นแนะนำทาง

    เทคนิควันน้ีได้แก่ TMI AH BEC AP และ TASCO

Core Investment

  1. หุ้นโรงพยาบาล (ซื้อขายระยะกลาง 1 เดือน) เราเลือก TM SMD BCH BDMS และ CHG
  2. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า (ซื้อขายระยะกลาง 1-3 เดือน) เราเลือก ASIAN TU HANA KCE SAT AH MEGA NER EPG CBG และ SMPC
  3. หุ้นที่ประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น (ซื้อขายระยะกลาง 1-3 เดือน) เราเลือก SONIC JWD WICE และ NYT
  4. หุ้นสะสมระยะยาว (DCA) (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 1 ปี) เราเลือก AOT BEM ADVANC WHA LH CPALL CPF BDMS HMPRO BBL และ KTB

ตลาดต่างประเทศ (อินโฟเควสท์):

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,987.02 จุด เพิ่มขึ้น 53.79 จุด (+0.15%) ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,360.03 จุด ลดลง 14.27 จุด (-0.33%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,543.13 จุด ลดลง 101.82 จุด (-0.70%) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับเพิ่มขึ้น หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคาร กลางสหรัฐ(เฟด) ได้แถลงต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2 ซึ่งเขายังคงเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ปรับเพิ่มเกิดจากปัจจัยชั่วคราว อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มพลังงาน

ตลาดหุ้นยุโรป : ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดท่ีระดับ 456.20 จุด ลดลง 4.36 จุด (-0.95%) ตลาดหุ้นยุโรปปรับลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจท่ามกลางการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นของโรคโควิด-19 ในยุโรป รวมทั้งความผิดหวังเกี่ยวกับการเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน และการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป

สินค้าโภคภัณฑ์ (อินโฟเควสท์):

  • ราคาน้ำมันดิบ : สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค. ปิดที่ 71.65 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลง 1.48 เหรียญ (-2.0%) และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ก.ย. ปิดที่ 73.47 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลง 1.29 เหรียญ (-1.7%) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปรับลดลง ต่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือน จากความกังวลเก่ียวกับปริมาณน้ำมันในตลาดอาจสูงข้ึน หลังจากซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) บรรลุข้อตกลงเพิ่มกำลังผลิต แม้รายงานจากสานักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะระบุปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ลดลง 7.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าท่ี Market Consensus คาด
  • ราคาทองคำ : สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ส.ค. ปิดที่ 1,829 เหรียญต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 4 เหรียญ (+0.22%) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับเพิ่มขึ้น หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มองว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้น เป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ทำให้นักลงทุนคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้ อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยจากัดการฟื้นตัวของสัญญาทองคำ
  • ราคาถ่านหิน : ราคาถ่านหินตลาดล่วงหน้า (Newcastle) ส่งมอบเดือน ส.ค. 64 ล่าสุด ปิดท่ี 147.1 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 2.8 เหรียญ (+1.94%)
  • ค่าระวางเรือ : Baltic Dry Index (BDI) ล่าสุดปิดที่ 3,073 จุด ลดลง 66 จุด (-2.10%)

ข่าวอื่น ๆ

• VL ฉายภาพครึ่งปีหลังบริการขนส่งต่างแดนดีมานด์สูง แม่ทัพหญิง “ชุติภา กลิ่นสุวรรณ” โชว์ฐานทุนแน่น เช่ือเศรษฐกิจฟื้นตัวไตรมาส 3-4 ปักหมุดรายได้ปีนี้โต 15-20% (ทันหุ้น)

• SIS ชี้ตลาดไอทีขาขึ้นเต็มๆ 5G-ทางานที่บ้านหนุน ขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์แรง สบช่องรุกหนักตลาด Cyber Security มองโตสูงปีละ 20-30% ได้ Bitkub เป็นลูกค้า พร้อมลุยกลุ่มเทคโนโลยีพลังงาน จับองค์กรทั้ง ระบบสถานีชาร์จ EV และระบบลดต้นทุนพลังงานเข้าเทรนด์โลก (ทันหุ้น)

• KWM เดินเกมรุกธุรกิจ สั่งปรับเป้ารายได้ใหม่โต 40% ทุบสถิติจากเดิมที่ 15-20% รับดีมานด์ขยายตัว ส่งผลให้มี คาสั่งซื้อเข้ามามากกว่าสามเท่า คิดเป็นสัดส่วนรายได้สูงถึง 60% ขณะที่ใช้กาลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีจะสูงถึง 80% ส่วน KWM-W1 หนุนโตต่อเนื่องอีก 2 ปีข้างหน้า (ทันหุ้น)

- Advertisement -