Technical Rebound แนะเพียงเก็งกำไร
Investment Ideas:
- ภาพรวมการลงทุน – เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,520-1,555 จุด คาด SET จะมีแรงซื้อกลับ หลังสัปดาห์นี้ (19-20 ก.ค.) SET ปรับลดลงกว่า 2.26% ในลักษณะ Technical Rebound กลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำเพียงเก็งกำไรหุ้นในกลุ่ม Big Cap อย่างกลุ่มพลังงานที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว และหุ้นในกลุ่มธนาคารหลังรายงานผลประกอบการดีกว่าท่ีเราและ Consensus คาด สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะสั้นได้ ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนหลัก เรายังแนะนำ Let Profit Run หุ้นในกลุ่มที่เราแนะนำก่อนหน้านี้ ได้แก่ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า หุ้นในกลุ่ม Logistic และหุ้นในกลุ่ม WFH ขณะที่นักลงทุนที่เริ่มเข้าทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มดังกล่าว เราแนะนำ Selective เฉพาะหุ้นที่ยังมี Upside ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน
- ตลาดหุ้นอินเดียปิดทำการเนื่องในวันอิดิลอัฎฮา (Eid al-Adha)
- ราคาน้ำมันดิบฟื้นหลังสะท้อนตลาดน้ำมันที่ไม่แน่นอน แนะนำเก็งกำไร เลือก PTTEP เป็นหุ้นเด่น – ราคาน้ำมันดิบกลับมาฟื้นตัว หลังปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มข้ึนจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก กระทบประมาณการความต้องการใช้น้ำมันดิบ จากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ขณะที่กลุ่ม OPEC+ ได้ข้อสรุป (1) ปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบเดือนละ 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่ ส.ค.-ธ.ค. 64 รวม 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ (2) ปรับเพิ่มโควต้าการผลิตของ UAE ซาอุฯ อิรัก และคูเวต เพิ่มรวม 1.13 ล้านบาร์เรล และ (3) ขยายเวลามาตรการลดการผลิตน้ำมันดิบที่จะสิ้นสุดลงเดือน เม.ย. 65 ออกไปเป็นเดือน ธ.ค. 65 เป็นปัจจัยกดดันหุ้นในกลุ่ม Oil play (PTT PTTEP OR BCP IRPC SPRC TOP และ ESSO) ทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงกว่า 5.3% ในรอบ สัปดาห์ท่ีผ่านมา ภาวะปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนด้านอุปสงค์จากสถานการณ์การแพร่ระบาด เราจึงแนะนำ เพียงเก็งกำไร โดยเราเลือก PTTEP (ซื้อ.,ราคาเป้าหมาย 140 บาท) เป็นหุ้นเด่น ติดตามรายงานปริมาณ สำรองน้ำมันดิบจาก EIA (คืนนี้ 21 ก.ค.) โดย Market Consensus คาดว่าปริมาณสำรองน้ำมันดิบลดลง 4.5-6.0 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (สิ้นสุดวันที่ 16 ก.ค.)
- กลุ่มธนาคารรายงานผลประกอบการ 2Q64 ดีกว่าคาด แนะเพียงเก็งกำไร เลือก KBANK และ KKP เป็นหุ้น เด่น – กลุ่มธนาคารทยอยรายงานผลประกอบการ 2Q64 โดยวานนี้ (20 ก.ค.) มีรายงานผลประกอบการของ TTB (ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 1.54 บาท) BAY (เก็งกำไร; ราคาเป้าหมาย 33.25 บาท) และ BBL (ซื้อ; ราคา เป้าหมาย 170 บาท) หากไม่รวมการรับรู้กำไรพิเศษ (BAY ขาย TIDLOR) ผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร ทั้ง 3 ธนาคาร ออกมาดีกว่าคาด แต่ยังเป็นภาพของผลประกอบการที่ลดลงทั้ง QoQ และ YoY เป็นผลมาจากสินเชื่อที่หดตัว NIM ที่ปรับลดลง และการตั้งสารองท่ีเพิ่มขึ้น ภาพรวมกลุ่มธนาคาร ยังมีความไม่แน่นอนจากภาพรวมเศรษฐกิจท่ียังมีโอกาสถูกปรับลดประมาณการ GDP อันเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ แต่ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารปรับลดลงเฉลี่ย 5.2% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา กลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำเพียง เก็งกำไร โดยหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคารยังคงเป็น KBANK (ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 177.0 บาท) และ KKP (ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 68.0 บาท)
- Market Consensus ปรับลด GDP ไทย ในปี 64-65 – BoT เปิดเผยผลสารวจ Analyst Survey ครั้งที่ 2 (ไตรมาส 3 ปี 2564) โดยนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการ GDP ในปี 2564 และปี 2565 ลงเหลือ 1.3% (เดิม 2.5%) และ 3.0% (เดิม 4.0%) ตามลำดับ โดยการส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐฯ ยังคงเป็นเครื่องยนต์ หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งนี้ธุรกิจในภาคการผลิตมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าธุรกิจในภาคที่มิใช่การผลิต จากการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ปัจจัยสาคัญที่สนับสนุนการฟื้นตัวขอ เศรษฐกิจอยู่ท่ี (1) นโยบายการเงินที่อยู่ในระดับผ่อนคลาย มาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องของทั้งภาคธุรกิจ และประชาชน และ (2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันการฟื้นตัว โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยใน 3Q64 ทรงตัว YoY ปัจจัยลบมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มหดตัว อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งแต่เดือน เม.ย. 64 ท่ียืดเยื้อและรุนแรง
- บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน – Earnings Results: BBL และ BAY
- ติดตามรายงานตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญวันนี้ – รายงานเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ รายงานสินค้าคงคลังน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ (Crude Oil Inventories)
- มุมมองทางเทคนิค – เราคาดว่า SET Index วันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,520-1,555 จุด หุ้นแนะนำทาง
- เทคนิควันนี้ ได้แก่ ADVANC MSC BPP TASCO และ CPW
Core Investment
- หุ้นโรงพยาบาล (ซื้อขายระยะสั้น 1 เดือน) เราเลือก TM SMD BCH BDMS และ CHG
- WFH เราเลือก (ซื้อขายระยะสั้น 1 เดือน) ADVANC TRUE TPAC SCGP JAS ITEL INSET NETBAY YGG และ AS
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า (ซื้อขายระยะกลาง 1-3 เดือน) เราเลือก ASIAN TU HANA KCE SAT AH PACO MEGA NER EPG CBG และ SMPC
- หุ้นที่ประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น (ซื้อขายระยะกลาง 1-3 เดือน) เราเลือก APURE SONIC JWD WICE และ NYT
- หุ้นสะสมระยะยาว (DCA) (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 1 ปี) เราเลือก AOT BEM ADVANC WHA LH CPALL CPF BDMS HMPRO BBL และ KTB
ตลาดต่างประเทศ (อินโฟเควสท์):
• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,511.99 จุด เพิ่มขึ้น 549.95 จุด (+1.62%) ดัชนี S&P500 ปิดท่ี 4,323.06 จุด เพ่ิมข้ึน 64.57 จุด (+1.52%) และดัชนี Nasdaq ปิดท่ี 14,498.88 จุด เพิ่มขึ้น 223.89 จุด (+1.57%) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อกลับ หลังราคาหุ้นปรับลดลงอย่าง มากในวันซื้อขายก่อนหน้านี้รวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มธุรกิจเรือสาราญขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารดดีตัวขึ้น ตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่ดีเกินคาด ของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งรายงานตัวเลขการสร้างบ้านของสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด ในเดือน มิ.ย.
• ตลาดหุ้นยุโรป : ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 446.61 จุด เพิ่มขึ้น 2.32 จุด (+0.52%) ตลาดหุ้น ยุโรปปรับเพิ่มขึ้น โดยฟื้นตัวข้ึนหลังจากการปรับลดลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19สายพันธุ์เดลตา และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างไรก็ตาม การรายงานผลประกอบการท่ีแข็งแกร่งของหลายบริษัทจดทะเบียน เป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาด
สินค้าโภคภัณฑ์ (อินโฟเควสท์):
- ราคาน้ำมันดิบ : สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค. ปิดที่ 67.42 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1 เหรียญ (+1.5%) และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ก.ย. ปิดที่ 69.35 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ (+1.1%) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปรับเพิ่มขึ้นจากแรงซื้อกลับ หลังสัญญาน้ำมันดิบปรับลดลงกว่า 7% เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) วันนี้ (21 ก.ค.) โดย Market Consensus คาดปริมาณสำรองน้ำมันดิบลดลงกว่า 6 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (สิ้นสุดวันที่ 16 ก.ค.)
- ราคาทองคำ : สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ส.ค. ปิดที่ 1,811.4 เหรียญต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 2.2 เหรียญ (+0.12%) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับเพิ่มขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับไวรัส โควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่แพร่ระบาดทั่วโลก ทาให้นักลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ อย่างไรก็ดี สัญญาทองคำปรับเพิ่มไม่มากจากผลของการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
- ราคาถ่านหิน : ราคาถ่านหินตลาดล่วงหน้า (Newcastle) ส่งมอบเดือน ส.ค. 64 ล่าสุด ปิดท่ี 151.0 เหรียญต่อตัน ลดลง 2.7 เหรียญ (-1.76%)
- ค่าระวางเรือ : Baltic Dry Index (BDI) ล่าสุดปิดท่ี 3,053 จุด ลดลง 6 จุด (-0.20%)
ข่าวอื่น ๆ
• EPG ชี้ยกระดับล็อกดาวน์ยอดเดลิเวอรีพุ่ง หนุนออเดอร์กล่องข้าวทะลักได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า ดันกำไรส่งออก กระฉูด คอนเฟิร์มปีนี้รายได้ทะยาน 15% แตะ 1.1 หมื่นล้านบาท ทุ่มงบ 540 ล้านบาท (ทันหุ้น)
• TPIPP ประกาศลุยโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ คาดเปิดรับซื้อไฟฟ้าไตรมาส 3 นี้ มั่นใจคว้า 120 MW เข้าพอร์ต พร้อมผนึกพันธมิตรจีนร่วมลงทุนโรงงานแบตเตอรีในโครงการจะนะ เมืองต้นแบบทั้งปีคาดรายได้ไม่ต่ำกว่า 1.25 หมื่นล้านบาท (ทันหุ้น)
• GLOCON รับอานิสงส์ WFH หนุนยอดขายอาหารพร้อมทานพุ่งดันผลงานไตรมาส 2/2564 เป็นบวก กางแผน ครึ่งปีหลังเดินเกมขยายไลน์ผลิตเพิ่ม ผู้บริหารย้าพร้อมรุกตลาดอาหารผสมกัญชงเต็มรูปแบบหลังรัฐเปิดไฟเขียว คาดเห็นสินค้าไตรมาส 4/2564 มั่นใจผลงานครึ่งปีหลังสดใส หนุนภาพรวมทั้งปีขยายตัวตามเป้ารายได้ทะลุ 2,100 ล้านบาท โต 30% (ทันหุ้น)