SET ยังอยู่ในกรอบ 1530 – 1555 จุด

Top Pick เลือก ADVANC, MCS และ TMT

สัปดาห์น้ีน่าจะมีบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งท่ีทยอยประกาศผลประกอบการ 2Q64 ออกมาเบื้องต้นที่นักวิเคราะห์ได้ทําประมาณการเชื่อว่าจะเป็นตัวเลขที่ดี แต่อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมของผลประกอบการท้ังหมดน่าจะเติบโต YoY แต่ หดตัว QoQ ส่วนประเด็นอื่นที่อยู่ในความสนใจเป็นเรื่องของผลประชุม Fed ว่าจะมีการส่งสัญญาณอะไรออกมาหรือไม่ ทั้งนี้จากผลการสํารวจของ Bloomberg คาดว่าจะเห็นการเริ่มส่งสัญญาณในเดือน ส.ค.64 สําหรับ สถานการณ์ Covid -19 ในบ้านเรายังดูน่ากังวลแม้ตัวเลขผู้ติดเช่ือวันน้ีจะ รายงานที่ 14,150 คน แต่ยังไม่รวมผลตรวจ ATK ที่พบการติดเชื้อจํานวนมาก จากปัจจัยแวดล้อมดังกล่าวคาดว่าจะทําให้ตลาดหุ้นยังไม่สามารถปรับขึ้นได้

SET Index น่าจะอยู่ในกรอบ 1530 – 1555 จุด ส่วนพอร์ตจําลองวันศุกร์ที่ ผ่านมามีการ Cut Loss หุ้น PLANB น้ําหนัก 5% ให้เก็บเป็นเงินสดเพิ่มเป็น 20% หุ้น Top Pick เลือก ADVANC, MCS และ TMT

ประชุม Fed สัปดาห์น้ี คาดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ปัจจัยต่างประเทศตลอดในสัปดาห์น้ีทตี่ลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยให้น้ําหนักหลักๆ คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่จะเกิดข้ึนในวันที่ 27-28 ก.ค. 2564 น้ี (ไทยทราบผลกลางดึก 29 ก.ค. 2564) คาดว่าในร อบนี้ Fed ไม่น่าจะมีการส่งสัญญาณ นโยบายการเงินเพิ่มเติม และคาดคงอัตราดอกเบี้ยฯ ท่ี 0.25% และมาตรการ QE ยังคงที่ 1.2 แสนล้านเหรียญต่อเดือน แบ่งเป็น Treasury 8 หมื่นล้านเหรียญ และ MBS 4 หมื่นล้านเหรียญ

หากมองไปข้างหน้า ประเด็นท่ีตลาดให้น้ําหนัก คือ Fed จะส่งสัญญาณลดระดับ QE (QE Tapering) เมื่อไหร่ อ้างอิงผล Survey ความเห็นของ Economist ใน Bloomberg ระหว่างวัน 21 ก.ค. ล่าสุด ที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ท่ีแล้ว 3 ใน 4 หรือราว 75% ของนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า Fed จะ

  1. ปรับข้ึนอัตราดอกเบี้ยฯจะเพิ่มข้ึนคร้ังแรกอีก 2 ปีข้างหน้าคือ กลางปี 2566 จนถึงปี 2567
  2. QE Tapering: คาด Fed จะเริ่มต้นส่งสัญญาณ 26-28 ส.ค.ท่ีเมือง Jackson Hole และมีแนวโน้มท่ีจะพูดในการประชุม FOMC วันท่ี 21-22 ก.ย. และ ประกาศมีผลการลด QE ลงจริงคาดจะเริ่มในไตรมาสแรกของปี 2565

โดยรวมประเด็น Fed ดังท่ี ASPS เคยนําเสนอมาตลอดว่า ในเดือน ส.ค. –กย.2564 ประเด็นนี้น่าจะยังสร้างความผันผวนกับตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนน่าจะอยู่ในสภาวะ Wait and See เพื่อรอการส่งสัญญาณของ Fed ที่ชัดเจน และดังสถิติในอดีตปี 2556 ที่ในรอบน้ัน Fed เร่ิมส่งสัญญาณ QE Tapering คร้ังแรก พบว่าตลาดหุ้นโลกและหุ้น ไทยปรับฐานแรงช่วงสั้น , Fund Flow จะไหลออกไทย , Bond Yield อายุสั้นและยาว แต่ละประเทศจะปรับขึ้นค่าเงิน Dollar จะแข็งค่า และเงินบาทจะอ่อนค่า คาดรอบนี้มีโอกาสเกิดข้ึนคล้ายกับอดีต

ตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยหนุน COVID-19 กดดันต่อเนื่อง

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้น่าจะขาดปัจจัยหนุน เนื่องจากสัปดาห์นี้มีวันหยุดในวันท่ี 26 และ 28 ก.ค. 2564 ส่งผลให้ตลาดเปิดซื้อขายเพียง 3 วัน โดยคาดว่าตลาดจะเผชิญแรงกดดันสําคัญจากจํานวนผู้ติดเชื้อท่ีเร่งตัวขึ้นทําจุดสูงสุดใหม่ (New High) ในช่วงสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงวันละ 15,376 ราย/วัน ในวันท่ี 26 ก.ค. 2564 แม้ล่าสุดช่วงเช้า วันนี้ (27 ก.ค. 2564) จํานวนผู้ติดเชื้อจะลดลงเหลือ 14,150 ราย แต่นับว่ายังสูงอยู่ โดยประเมินว่าสถานการณ์จะ Peak ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ค. 2564 แต่โอกาสท่ีจํานวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มต่อ ยังคงมีส่งผลให้สถานการณ์การระบาดเป็นประเด็นสําคัญที่กดดันตลาดหุ้น และยังต้อง Monitor ต่อไปอย่างใกล้ชิด

ทางด้านปัจจัยหนุนยังพอมีให้เห็นบ้างประปราย เช่น

  • กระทรวงสาธารณสุขพิจารณามาตรการอนุญาตให้ร้านอาหารใน ห้างสรรพสินค้าสามารถจําหน่ายอาหารแบบนํากลับบ้านได้ โดยจะเสนอให้ (ศบค.) พิจารณาต่อไป โดยคาดเร็วสุดน่าจะอนุญาตภายในสัปดาห์นี้ ซ่ึงจะเป็น Sentiment บวกกับหุ้นกลุ่มร้านอาหาร เช่น M, CENTEL, MINT
  • วันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์เผยว่าการส่งออกของไทยเดือนมิ.ย.2564 ขยายตัว 43.82%yoy (สูงสุดในรอบ 11 ปี) สินค้าส่งออกสําคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์, ช้ินส่วนคอมพิวเตอร์, ผลิตภัณฑ์ยาง, อาหารสัตว์ เป็นต้น ส่งผลให้การส่งออกเฉลี่ย 1H64 ขยายตัว 15.5%yoy ช่วยให้สมมุติฐานการส่งออกของของธปท. ท่ีประเมินไว้ 17.1% ยังมีโอกาสเป็นไปได้ และคาดช่วยสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก เช่น NER, STA, TU, TFG,SAT, MCS ซึ่งทยอยสะสมได้ ส่วน KCE, DELTA, HANA แนะเก็งกําไร

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม ASPS คาดว่าปัจจัยลบจากจํานวนผู้ติดเชื้อในระดับสูงมีน้ําหนักมากกว่าปัจจัยบวกที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาส Underperform ต่อไป

เริ่มเข้าสู่ช่วงรายงานงบ 2Q64 Real Sector…ต้องระวังกับดักหุ้นงบดี

เริ่มเข้าสู่ช่วงรายงานงบ 2Q64 Real Sector ในสัปดาห์ อย่างหุ้น PTTEP (วัน พฤหัสบดี), SCC (วันศุกร์) เป็นต้น โดยมีรายละเอียดท่ีน่าสนใจดังน้ี

SCC (FV @ 500.00) คาดการณ์กําไร 2Q64 ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท (+1.2%QoQ,+60.9%YoY) กําไรเติบโต QoQ แม้ Stock Gain ในธุรกิจปิโตรเคมีจะลดลงมาก แต่ชดเชยได้จาก Spread ผลิตภัณฑ์สาย PVC ที่เพิ่มขึ้น และ Lag time ใน การขายสินค้าล่วงหน้า 1 เดือน ทําให้ Spread ผลิตภัณฑ์หลักอื่นๆยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทุกธุรกิจหลักมีแนวทางการเติบโตที่ชัดเจนในระยะยาว ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมสิ้นปี 2564 ด้วยวิธี DCF ได้ท่ี 500 บาท เทียบเท่า PER 12.8 เท่า มี Upside 19% พร้อมคาดหวัง Dividend Yield อีก 4.17% ต่อปี

PTTEP (FV @ 144.00) คาดการณ์กําไรสุทธิงวด 2Q64 เท่ากับ 8.5 พันล้านบาท ปรับตัวลดลง 26.2%qoq หลักๆเป็นผลมาจากรายการพิเศษท่ีในงวดนี้สุทธิเป็นขาดทุนสูง ถึง 4.5 พันล้านบาท ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากการบันทึกขาดทุนจาก hedging โดยรวมแล้วคาดกําไรสุทธิและกําไรจากการดําเนินงานปกติงวด 1H64 อยู่ที่ 2.0 และ 2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.0% และ 65.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 70% ของ ประมาณการท้ังปี 2564 ท่ีประเมินไว้ และหากดูจากข้อมูลการทํา Earning Preview ของฝ่ายวิจัย ASPS ล่าสุดมีการออกบท วิเคราะห์ไปแล้ว 45 บริษัท (มีสัดส่วน 36% ของ Market Cap.) พบว่า ส่วนใหญ่ทําผลประกอบการได้ดี โดยมีกําไรสุทธิรวมอยู่ที่ 9.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มข้ึนถึง 43%yoy

หากลงรายละเอียดเป็นรายบริษัท พบว่า เติบโต yoy ถึง 30 ใน 45 บริษัท ส่วนหนึ่งเกิดจากฐานกําไรบริษัทจดทะเบียนงวด 2Q63 ต่ำเพียง 1.26 แสนล้านบาท (ระดับปกติเกิน 2 แสนล้านบาทต่อไตรมาส) เนื่องจากได้รับผลกระทบ COVID-19 ระลอกแรกและการ Lockdown

ดังนั้นนักลงทุนจะต้องระวังกับดักงบ 2Q64 เนื่องจากแม้งบการเงินงวด 2Q64 ยังดูดี แต่ 3Q64 น่ากังวลจากการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ และในมุมมองนักวิเคราะห์พื้นฐาน ASPS เบื้องต้นมีกลุ่มท่ีได้รับผลกระทบ COVID-19 ระลอกใหม่ราว 7 ใน 10 ของกําไรรวม โดยเฉพาะกลุ่มท่ีได้รับผลกระทบหนัก คือ กลุ่มท่องเที่ยว, ขนส่ง , ก่อสร้าง, บันเทิง และศูนย์การค้า ซึ่งนักวิเคราห์อยู่ในช่วงติดตามผลกระทบจากทางบริษัท แต่หากยังยืดเยื้อจะสร้าง Downside ต่อประมาณการกําไรอีกแน่นอน ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงท่ีนักลงทุนต้องเตรียมรับมือ

สรุปการเลือกลงทุนในช่วงน้ี โดยดูเฉพาะงบ 2Q64 อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ กลยุทธ์วันน้ีแนะนําลงทุนในหุ้นงบ 2Q64 เติบโตดี มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลสูง และ ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ระลอกใหม่ค่อนข้างจํากัด อย่าง TMT, MCS, และ ADVANC คาดมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล 5%, 4% และ 2% ตามลําดับ

- Advertisement -