บล.เอเซีย พลัส:
กําไร 3Q64 เพิ่ม 41% YoY และผ่านจุดต่ำสุด
กําไร 3Q64 เท่ากับ 134 ล้านบาท เติบโต 41% YoY (-18% QoQ ตามฤดูกาล) แรงหนุนจากออเดอร์ในธุรกิจ OEM (+51% YoY) โดยกําไร 9M64 เพิ่ม 44% YoY คิดเป็นสัดส่วน 95% ของประมาณการเดิม นําไปสู่การปรับเพิ่มกําไรปี 2564 – 65 เฉลี่ย 25% ทําให้คาดการณ์กําไรปี 2564 จะอยู่ท่ี 598 ล้านบาท (+47% YoY) และปี 2565 ท่ี 659 ล้านบาท (+10% YoY) ขับเคลื่อนด้วยออเดอร์ใหม่จากงาน OEM เป็นหลัก
อิง PER 13 เท่า ให้ FV ใหม่ท่ี 21.4 บาท (เดิม 17.4 บาท) คงแนะนํา ซื้อ แนวโน้มกําไรผ่านจุดต่ำสุด และไต่ระดับ QoQ ถึง 2Q65 ตามฤดูกาลและคําส่ังซื้อใหม่ในกลุ่ม OEM ด้าน Valuation มี PER ซื้อขาย 9 เท่า พร้อมคาด Div yield ปี 2564 – 65 ราว 6% – 7% ต่อปี
กําไร 3Q64 เติบโต 41% YoY จากยอดขาย … ปรับเพิ่มกําไรปี 2564 – 65 เฉลี่ย 25%
แม้กำไรสุทธิ 3Q64 เท่ากับ 135 ล้านบาท ลดลง 18%QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลในกลุ่มงาน OEM เครื่องปรับอากาศ แต่เติบโต 41% YoY หนุนด้วยยอดขายขยายตัว 50% YoY (-28.5% QoQ) นําโดย OEM (สัดส่วน 62% ของยอดขาย) เพิ่ม 51% YoY (-39% QoQ) จากคําส่ังซื้อในกลุ่มโทรทัศน์, การปรับราคาขาย Tool box ตามราคาเหล็ก รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนค่า (ราว 5% YoY) ตามด้วยธุรกิจช้ินส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (สัดส่วน 31% ของยอดขาย) ขยายตัว 57% YoY (+1% QoQ) เพราะการปรับราคาขายตามราคาวัตถุดิบสูงข้ึน และธุรกิจช้ินส่วนรถยนต์ (สัดส่วน 7% ของยอดขาย) สูงขึ้น 20% YoY (-9% QoQ) จากงานใหม่และเป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดผลิตรถยนต์ไทย (-3% QoQ, +3% YoY) ภาพรวมข้างต้นชดเชย Operating profit margin ลดลงมาที่ 3.9% จาก 4.2% ในงวด 3Q63 (2Q64 ที่ 4.2%) จากมาร์จิ้นกลุ่มงานชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนรถยนต์ ท้ังงานใหม่กลุ่ม Auto มีมาร์จิ้นต่ำ / ค่าใช้จ่ายในการดูแลพนักงานช่วง COVID-19
โดยรวมกําไร 9M64 เท่ากับ 447 ล้านบาท เติบโต 53% YoY และคิดเป็นสัดส่วน 95% ของประมาณการเดิม ในขณะที่แนวโน้มกําไร 4Q64 ขยายตัว QoQ และ YoY อยู่ที่ราว 151 ล้านบาท หนุนด้วยการเร่ิมเข้าสู่ฤดูกาลเครื่องปรับอากาศ และคําส่ังซื้อกลุ่มงาน OEM ใหม่ตามแผนการ PO ช่วงที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนการดําเนินงาน 9M64 ที่ดีกว่าคาด ฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มกําไรปี 2564 – 65 เฉลี่ย 25% รายละเอียดดังน้ี
(+) ยอดขายปี 2564 – 65 เพิ่มข้ึนเฉลี่ย 19% ภายหลังปรับปรุงยอดขายปี 2564 จะอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท (+56% YoY : 9M64 เพิ่ม 50% YoY และคิดเป็นสัดส่วน 77% ของสมมติฐานยอดขาย) ส่วนปี 2565 อัตราเติบโตใกล้เคียงกับประมาณการเดิม 22% YoY เท่ากับ 1.7 หมื่นล้านบาท หนุนด้วยออเดอร์ใหม่จากงาน OEM เป็นหลัก
(-) Gross Margin ปี 2564 จาก 9% เหลือ 8.5% สอดคล้องกับ 9M64 ท่ี 8.5% และปี 2565 คาดไว้ 8.3% (เดิม 8.6%) ต่ำลงจากปีก่อน เนื่องจากสัดส่วนงาน OEM ที่มีมาร์จิ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยบริษัทฯ สูงข้ึน
องค์ประกอบรวมคาดการณ์กําไรปี 2564 เท่ากับ 598 ล้านบาท (+47% YoY : 9M64 คิดเป็นสัดส่วน 75% ของประมาณการ) และปี 2565 เติบโตต่อเนื่อง 10% YoY อยู่ที่ 659 ล้านบาท ขับเคลื่อนด้วยการขยายตัวของยอดขายเป็นหลักจากคําส่ังซื้องาน OEM ใหม่
ซื้อ … ทิศทางกําไรขาข้ึน พร้อมคาด Div yield 6% – 7%
ภายใต้ประมาณการใหม่ คงจํานวนหุ้นท่ีใช้คํานวณ EPS อย่างอนุรักษ์นิยมที่ 400 ล้านหุ้น (ณ สิ้นงวด 3Q64 ที่ราว 362 ล้านหุ้น) จนกว่าบริษัทฯ จะมีแนวทางที่ชัดเจนกับหุ้นที่เหลือจากการ PO รอบที่ผ่านมา ในการประเมินมูลค่าหุ้นอิง PER 13 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 6 ปี ราว 1.5 SD จากสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงการเข้าสู่วัฎจักรการเติบโตของกําไรรอบใหม่ (ปี 2558 – 2563 กําไรปกติอยู่ในกรอบ 312 – 431 ล้านบาท) ให้ FV ปี 2565 ใหม่ที่ 21.4 บาท (เดิม 17.4 บาท) คงแนะนํา ซื้อ นอกจากทิศทางกําไรผ่านจุดต่ำสุดของปี และไต่ระดับ QoQ เป็นขั้นบันไดถึง 2Q65 หนุนด้วยปัจจัยฤดูกาล และออเดอร์ใหม่ ขณะที่ในเชิง Valuation มี PER ซื้อขาย 9 เท่า (VS แนวโน้มกําไรปี 2565 – 67 เติบโต เฉลี่ย 10% ต่อปี) และ PBV ซื้อขาย 1.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 6 ปีราว 1 SD และ Prospective PBV ตาม GGM ท่ี 1.87 เท่า พร้อมคาด Div yield 6% – 7% ต่อปี
ประเด็นความเสี่ยงสําคัญ และ Sensitivity Analysis ต่อประมาณการ
- ภายใต้ประมาณการปี 2565 ทุก 1% ของยอดขายที่ต่ำลงจาก Base case ท่ี 1.7 หมื่นล้านบาท จากความเสี่ยงในด้านกําลังซื้อชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ , คําสั่งซื้อจาก OEM ไม่มาตามแผน ฯลฯ และกําหนดประสิทธิภาพการทํากําไรคงเดิม จะส่งผลให้กําไรปกติปี 2565 ลดลงจาก 659 ล้านบาท ประมาณ 1% และ FV ปี 2565 จาก 21.4 บาท มาอยู่ท่ี 21.2 บาท
ขณะที่ในกรณี Worst case บนสมมติฐานยอดขายลดลงทุก 1% จาก Base Case ปี 2565 และกําหนดให้สมมติฐานต้นทุนผลิตเท่าเดิมที่ 1.6 หมื่นล้าน บาท อาจเกิดได้ในกรณีค่าเสื่อมราคาจากสายการผลิตใหม่ (หรือของเสียในการผลิตช่วงเริ่มต้นสายการผลิตใหม่) และออเดอร์จากงาน OEM ไม่มาตาม คาด จะส่งผลให้ Gross Margin ปี 2565 ต่ำลงจาก 8.3% เหลือ 7.3% และ กําไรปี 2565 ต่ำลงจากประมาณการ 21% มาอยู่ท่ี 520 ล้านบาท และ FV ปี 2565 จาก 21.4 บาท มาอยู่ที่ 16.9 บาท - ภายใต้ประมาณการปี 2565 ทุก 0.5% ของ Gross Margin ที่ต่ำลงจากสมมติฐานที่ 8.3% จะส่งผลให้กําไรปี 2565 ต่ำลงจาก 11% มาอยู่ที่ 586 ล้านบาท และ FV ปี 2565 จาก 21.4 บาท มาอยู่ท่ี 19.1 บาท