Our View? “ผันผวน”

คาดตลาดฯ ยังให้น้ำหนักประเด็นต่างประเทศ ที่มีความกังวลต่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐ (US Bond Yield) อายุ 10 ปี หลังเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.9% เมื่อคืนน้ี ซึ่งการปรับตัวขึ้นของ US Bond Yield ทั้งระยะสั้น-ยาว ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยง เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ปลอดภัย (Earning Yield Gap) ปรับตัวแคบลง คาดในระยะสั้นยังกดดันทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยง

โดยเฉพาะแรงขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ส่งผลให้ Nasdaq ล่าสุดลงลง 10.7% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อ 19/11/64 ภายใต้ความกังวลอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น ซึ่ง FedWatch Tool ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน มี.ค. (15-16) ซึ่งเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ขณะที่ โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับข้ึนอัตราดอกเบี้ย 4 คร้ังในปีน้ี และจะเร่ิมปรับลดขนาดงบดุลในเดือน ก.ค. หรือเร็วกว่านั้น จากปัจจุบันที่สูงกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์ คาดส่งผลต่อ Fund Flow ส่วนเกินเข้าภูมิภาคลดลงในระยะถัดไป

นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและรัสเซีย หลังรัสเซียส่งทหาร 100,000 นาย ประชิดชายแดนยูเครน ทำให้มีแรงซื้อกลับในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ล่าสุด เพิ่มขึ้น 30.8 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 1,843.2 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับแต่วันที่ 19/11/64

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน ก.พ. ยังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง และแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปี โดยปิดที่ 86.96 ดอลลาร์/บาร์เรล +1.53 ดอลลาร์ หรือ +1.8% หลังเกิดเหตุระเบิดท่อส่งน้ำมันของตุรกี ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลำเลียงน้ำมันจากอิรักไปยังตุรกี และยังได้รับปัจจัยหนุนหลังสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกปี’65 อีก 200,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 3.3 ล้านบาร์เรล/วัน คาดยังเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน คาดช่วยประคองตลาดหุ้นไทยได้บ้าง

ในส่วนปัจจัยภายในประเทศ ยังแนะนำติดตาม (1) การเปิดเผยผลประกอบการ 4Q’64 เริ่มจากกลุ่ม
ธนาคารปลายสัปดาห์น้ี โดยเราคาดว่ามีโอกาสทรงตัวจาก 3Q’64 แม้คาดได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของ
เศรษฐกิจ แต่การท่ี ธปท. เร่ิมให้ธนาคารกลับมาใช้มาตรการดูแลลูกหนี้ตามปกติแล้ว อาจจะกดดันทิศทางกำไร
ได้บ้าง อย่างไรก็ตาม เรายังชอบหุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB และ TTB) ที่คาดการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ไทยจะช่วยให้สินเชื่อกลับมาเติบโตได้อีกคร้ังในปีน้ี รวมทั้งทิศทางดอกเบี้ยโลกเริ่มปรับเปลี่ยนเป็นขาขึ้น พร้อมทั้งการตั้ง ECL ที่คาดเริ่มปรับลดลงตั้งแต่ช่วง 1Q’65 (2) การประชุมศบค.ชุดใหญ่คาดพิจารณาปรับลด
ความเข้มข้นของมาตรการ โดยเฉพาะนำรูปแบบการเดินทางเข้าประเทศแบบ Test&Go กลับมาใช้ คาดเป็น
ปัจจัยหนุนในกลุ่ม Re-Opening คาดมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาอีกครั้ง และ (3) ประเด็นการเมือง หลัง 21 สส. พปชร.ลาออกจากพรรคที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะถัดไป

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนำวันนี้ “PTTEP”

คาด 4Q/64 มีกำไรสุทธิ 9,645 ล้านบาท ทรงตัว qoq แต่โดดเด่น yoy คาดเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว และคาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วง 1H/65 แกว่งตัวอยู่ในช่วง 80-90 USD/bbl ซึ่งแนวโน้มในช่วงถัดไปขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ไม่รุนแรง และผ่อนคลายลง คาดปริมาณความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นในช่วง 2Q/65 ขณะที่กลุ่มโอเปกพยายามควบคุมราคาน้ำมันดิบให้อยู่ในระดับ 80-90 USD/bbl โดยการผลิตของประเทศสมาชิกยังน้อยกว่าที่ตกลงกันไว้ ประกอบกับแนะให้จับตาความไม่สงบในภูมิภาคต่างๆ ของโลก จะเป็นตัวเร่งราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น ราคาเป้าหมาย (พื้นฐาน) 152.00 บาท

- Advertisement -