บล.คันทรี่ กรุ๊ป:

BCH: ราคาหุ้นปรับลดลง สะท้อนการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดไปแล้ว

คงคำแนะนำ “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 21 บาท อิง 23x PE’22E หรือใกล้เคียง -1SD ต่อค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ราคาหุ้นปรับลดลงกว่า 30% จากระดับสูงสุดกลางเดือน ส.ค.21 ได้สะท้อนปัจจัยลบจากข่าวการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดของรัฐ และเป็นโอกาสในการซื้อขายระยะสั้น

  • เมื่อวานนี้ทางศบค.ได้ประกาศมาตรการผ่อนคลายการควบคุมโควิด โดยเฉพาะการปรับพื้นที่ควบคุมให้มีจำนวน ลดลง และอนุญาตให้นักท่องเท่ียวเดินทางเข้ามาในประเทศตามโครงการ Test & GO มีผลตั้งแต่ 1 ก.พ.น้ี
  • คาดกำไร 4Q21 ท่ี 1.3 พันล้านบาท (+384%YoY, -54%QoQ) จากอัตรากำไรที่อ่อนแอ เพราะเคสโควิด-19 ท่ีลดลง 69% แต่ได้รับการชดเชยส่วนหนึ่งจากอุปสงค์สะสมในส่วนของบริการปกติ
  • คงมุมมองเป็นกลางต่อภาพปี 2022 เพราะคาดว่าเคสโควิด-19 ท่ีกลับมาพุ่งสูงข้ึนจากการแพร่ระบาดของสาย พันธ์ุโอมิครอน จะเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์โควิด-19 เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ไม่รุนแรง บวกกับการฉีดวัคซีนที่ มากข้ึน แต่จะจับตาประเด็นโอมิครอนอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินภาพรวมในอนาคตต่อไป

ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด

วันที่ 20 ม.ค. 2022 ศบค.มีมติผ่อนคลายมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ลงบางส่วน

1.ลดระดับพื้นที่ควบคุมลง 25 จังหวัด จากพื้นที่ควบคุมสีส้มเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูงสีเหลือง อนุญาตการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สีเหลืองและสีฟ้าถึง 23.00 น.

2.นำมาตรการ Test&Go กลับมาใช้ นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วจะมีสิทธิ์ลงทะเบียนเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. โดยแทบไม่ต้องกักตัว แต่ต้องมีหลักฐานการจองโรงแรม และมีการตรวจ RT-PCR 2 ครั้งในวันแรก และวันที่ 5 ซึ่งมาตรการเดิมมีการตรวจ PCR เพียงครั้งเดียวตอนเข้าประเทศ

3. แม้ยอดผู้ติดเชื้อรายวันมีแนวโน้มสูงขึ้น ด้วยยอดวันที่ 20 ม.ค. ที่ 8,129 ราย จากจุดต่ำที่ 2,305 ราย เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2021 แต่ยอดผู้เสียชีวิต และเคสรุนแรงต่ำกว่าระลอกก่อนอย่างมาก ซึ่งอาจยืนยันมุมมองของผู้เชี่ยวชาญบางท่านรวมถึงรัฐบาลไทย ที่ประเมินว่าสายพันธุ์โอมิครอนจะสร้างผลกระทบไม่มาก และด้วยอัตราการฉีดวัคซีนของไทยที่สูงกว่า 72% ของประชากรทั้งหมด จึงคาดว่าสถานการณ์โควิด-19 จะไม่ใช่ปัจจัยฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอีกต่อไป

โดยสรุปแล้วประเมินว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ใหม่จะไม่ช่วยหนุนการดำเนินงานของบริษัทเหมือนปีก่อน แต่เชื่อว่าราคาหุ้นที่ลดลง 30% จากจุดสูงวันที่ 21 ส.ค. 2021 ได้สะท้อนประเด็นต่างๆ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดไปบ้างแล้ว ถือเป็นโอกาสในการซื้อขายระยะสั้น

คาดกำไร 4Q21 จะลดลง QoQ แต่โตขึ้น YoY

  • คาดกำไร 4Q21 ท่ี 1.3 พันล้านบาท (+384%YoY, -54%QoQ) จากอัตรากำไรที่ต่ำเพราะเคสโควิด-19 ลดลง แต่ได้การชดเชยจากอุปสงค์สะสมในส่วนบริการปกติ
  • ประเมินรายได้ที่ 5 พันล้านบาท (+116%YoY, -37QoQ) สาเหตุที่ลดลง QoQ คือยอดคนไข้เคสโควิด-19 ที่ลดลง 69%QoQ ทั้งในส่วนของรพ.และ Hospitel กอปรกับยอดเข้ารับบริการตรวจเชื้อโควิด-19 ที่ลดลง 63%QoQ
  • ส่วนรายได้ที่โต YoY เป็นผลจากอุปสงค์สะสมสำหรับบริการปกติ ยอดตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่สูงกว่า 4Q20 และส่วนแบ่งจากวัคซีนจำนวน 3.5 แสนโดส
  • คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะลดลง 6ppts QoQ จากสัดส่วนรายได้เคสโควิด-19 ที่ลดลง

กลับสู่สภาวะปกติในปี 2022

  • คงมุมมองเป็นกลางต่อปี 2022 เพราะคาดว่าสายพันธ์ุโอมิครอนจะไม่เหมือนกับช่วง 2Q21-3Q21 เพราะเป็นสายพันธ์ุที่ไม่รุนแรง จึงคาดว่าสถานการณ์จะกลับเป็นปกติใน 1-2 ไตรมาส แต่จะจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินภาพรวมในอนาคตตอ่ไป

Revenue Breakdown

รายได้ของ BCH มาจาก 2 แหล่งหลัก คือ 1) กลุ่มคนไข้ทั่วไป และ 2) คนไข้โครงการประกันสังคม และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ขณะที่คนไข้ทั่วไปคือกลุ่มที่ชำระค่าบริการด้วยตัวเอง และแบ่งออกเป็นกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ปัจจุบันกลุ่ม OPD คิดเป็น 37% ของรายได้รวม

ขณะที่กลุ่ม IPD คิดเป็น 27% ของรายได้รวม โดยจะเป็นกลุ่มบริการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ปัจจุบัน BCH และบริษัทย่อยมีเตียงรองรับกลุ่มนี้อยู่ 2,029 เตียง ด้วยห้องหลากหลายประเภท เช่น ห้อง VIP ห้อง Gold ห้อง Silver และห้องมาตรฐาน

ทั้งยังให้บริการทางการแพทย์กับผุ้ประกันตนภายใต้โครงการภาครัฐ เช่น โครงการประกันสังคม และ สปสช.โดยกลุ่มนี้จะคิดเป็น 36% ของรายได้รวม

- Advertisement -