บล.ทรีนีตี้:
STARFLEX – สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX)
คาดกำไร 4Q64 ลดลง มองกำไรปี 65 เติบโตหลังย้ายโรงงานเสร็จ
- คาดกำไร 4Q64 ลดลงทั้ง QoQ และ YoY จาก GPM ลดจุกการผลิต SKU ใหม่ๆ และจังหวะโรงงานการผลิตลดลงชั่วคราว ขณะที่ต้นทุนคงที่
- มองปี 2565 ค่อยๆกลับมาเติบโต GPM ดีขึ้นหลังการย้ายโรงงานแล้วเสร็จ และการขยายลูกค้ากลุ่ม Medical มากขึ้น
- ปรับประมาณการปี 2564 และ 2565 ลดลง เพื่อให้สะท้อน GPM ที่ลดลง
- คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 6.16 บาทต่อหุ้น (เดิม 6.45 บาทต่อหุ้น) (วิธี DCF) ยังมีโอกาสเติบโตทั้ง Organic Growth และ upside จากดีล M&A ที่ยังไม่รวมในประมาณการปัจจุบัน
GPM ลด และจังหวะย้ายโรงงาน คาดกระทบกำไร 4Q64 ลดลงทั้ง QoQ และ YoY
- คาดกำไรสุทธิ 4Q64 ราว 33 ล้านบาท (-24.3% QoQ, -18.6% YoY) ปัจจัยกดดันจากการย้ายเครื่องจักรไปยังโรงงานใหม่ระหว่างไตรมาส กระทบกำลังผลิตบางส่วน ขณะที่รายจ่ายค่าแรงยังเป็นต้นทุนคงที่ ประกอบกับคาดอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 15.0% (15.1% ใน 3Q21, 20.2% ใน 4Q20) จากความพยายามเพิ่มฐานลูกค้าที่ให้มีการผลิต SKU ใหม่จำนวนมาก และการทดลองผลิตบรรจุภัณฑ์กลุ่ม Medical ในช่วงแรกยังไม่เกิด Economy of scales
คาดกำไรทั้งปี 2564 ยังเติบโต ขยายฐานลูกค้าหนุนรายได้ แม้ GPM ไม่เป็นไปตามคาด
- หากกำไร 4Q64 เป็นไปตามที่คาด กำไรสุทธิปี 2564 จะอยู่ที่ราว 153 ล้านบาท (+7.1% YoY) มีรายได้จากการขายราว 1,680 ล้านบาท (+20.2% YoY) ปัจจัยหนุนจากการขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Food และ Medical ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 16.6% (จาก 22.3% ใน 2563) เนื่องจากเป็นการเริ่มผลิตสินค้าใหม่ และมาการย้ายเครื่องจักรไปยังโรงงานใหม่ที่ใช้สำหรับผลิตกลุ่ม Food และ Medical โดยเฉพาะในช่วงปลายปี
Outlook ปี 2565 ค่อยๆโตต่อหลังย้ายโรงงานเสร็จ
- คาดใน 1Q65 สถานการณ์ยังถูกกดดันต่อเนื่องจาก 4Q64 จากการย้ายเครื่องจักรไปโรงงานใหม่ การเริ่มผลิตสินค้าใหม่ (Ramp up period) และต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สามารถปรับราคาขายได้ทันท่วงที
- คาดกำไรปี 2565 ราว 174 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย CAGR ปี 2563-2565 ราว 10.3% ต่อปีจากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่มองว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการผลิตสินค้ากลุ่ม Medical ได้ระดับ Economy of Scales มากขึ้น และได้คุณภาพดีขึ้น หลังคาดโรงงานใหม่แล้วเสร็จช่วงต้นปี 2565
ปรับประมาณการลดลง เพื่อให้สะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง
- ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ลดลงเหลือ 153 ล้านบาท จากเดิม 162 ล้านบาท เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงาน 9M64 และมุมมอง 4Q64 ที่มองว่าจะลดลงทั้ง QoQ และ YoY
- ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ลดลงเหลือ 174 ล้านบาท จากเดิม 218 ล้านบาท ปัจจัยหลักจากที่เราให้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 16.9% จากเดิม 20.0% เนื่องจากสถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบราคาสูง ประกอบกับเป็นช่วงย้ายโรงงานใหม่ ต้องใช้เวลา ramp up กลับมา
- จากการปรับประมาณการดังกล่าว กระทบต่อ Fair value ราว 4.7% จากเดิม 6.45 บาทต่อหุ้น เป็น 6.16 บาทต่อหุ้น ประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี DCF สมมติฐาน WACC 7.5% Terminal growth 1% โดยยังไม่รวมธุรกิจ M&A กับ ไทยยูเนี่ยน กราฟฟิกส์ (บริษัทลูกของ TU) ไว้ในประมาณการปัจจุบัน คาดว่าจะสามารถเริ่มประกอบธุรกิจได้ในปี 2566
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 6.16 บาท
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.16 บาทต่อหุ้น (วิธี DCF WACC 7.5% Terminal growth 1%) โดยเรายังไม่รวม upside จากการ M&A ไว้ในประมาณการปัจจุบัน
ความเสี่ยง: การเปลี่ยนแปลงของราคาต้นทุนวัตถุดิบ, ผลกระทบด้านต้นทุนจากการผลิตสินค้าใหม่