กําไรสุทธิงวด 4Q64 ของกลุ่มธนาคาร (10 บริษัท) เพิ่มขึ้น 34.7%YoY (แต่ลดลงเล็กน้อย 0.6%QoQ) มาอยู่ที่ 4.24 หมื่นล้านบาท โดยเกือบทุกบริษัท (8 บริษัท) ล้วนมีกําไรสุทธิที่เติบโต YoY มีเพียง KBANK และ LHFG เท่านั้นที่กําไรสุทธิงวด 4Q64 ลดลง YoY โดยรวมกําไรสุทธิกลุ่มธนาคารปี 64 เติบโต 32.3%YoY ทั้งนี้เรายังคงแนะนําทยอยสะสมหุ้นธนาคารท่ีค่า P/BV ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ อาทิ KBANK และ BBL
SET Index ปิดท่ี 1,640.54 (-12.19 จุด) มูลค่าการซื้อขายท่ี 76,905 ล้านบาท
Interesting Issues
- กําไรสุทธิงวด 4Q64 ของกลุ่มธนาคาร (10 บริษัท : SCB, BBL, KBANK, BAY, KTB, TTB, TISCO, KKP, LHFG, CIMBT) พบว่าอยู่ที่ 4.24 หมื่นล้านบาท เพิ่มข้ึน 34.7%YoY (แต่ลดลงเล็กน้อย 0.6%QoQ) โดยเกือบทุกบริษัท (8 บริษัท) มีกําไรสุทธิเติบโต YoY หลักๆหนุนจากกําไรสุทธิงวด 4Q64 ของ BBL, BAY และ SCB ท่ีเพิ่มขึ้น 163.5%, 88.6% และ 58.7%YoY มาอยู่ที่ 6.32, 6.39 และ 7.88 พันล้านบาท ตามลําดับ มีเพียง KBANK และ LHFG เท่านั้น (2 บริษัท) ท่ีกําไรสุทธิลดลง YoY โดย KBANK กําไรสุทธิงวด 4Q64 ลดลง 25.3%YoY มาอยู่ที่ 9.90 พันล้านบาท ส่วน LHFG ผลประกอบการงวด 4Q64 พลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 373 ล้านบาท จากกําไร 204 ล้านบาท ในงวด 4Q63 โดยรวมกําไรสุทธิกลุ่มธนาคารปี 64 (10 บริษัท) อยู่ที่ 1.83 แสนล้านบาท เพิ่มข้ึน 32.3%YoY โดยทุกบริษัทเติบโต YoY หมด ยกเว้น LHFG ที่กําไรสุทธิปี 64 ลดลง 32.7%YoY
- ทั้งนี้ปัจจุบันค่าเฉลี่ย P/BV กลุ่มธนาคารอยู่ที่ 0.89 เท่า ขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 65 เราจึงแนะนําทยอยสะสมหุ้นธนาคารต่อเนื่อง อาทิ KBANK (P/BV : 0.71 เท่า) ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 185 บาท, BBL (P/BV : 0.51 เท่า) ราคาเป้าหมายปี 65 ท่ี 155 บาท
- เมื่อวาน (24 ม.ค.) ราคาน้ํามันดิบ WTI (future เดือน มี.ค.65) ลดลง 1.93%DoD มาอยู่ที่ 84.19 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ค่าระวางเรือ BDI ลดลงต่อเนื่อง 1.70%DoD มาอยู่ท่ี 1,391 จุด (ที่มา: investing.com และอีไฟแนนซ์ไทย)
Today Strategy
ระยะสั้นในระหว่างที่สายพันธุ์โอมิครอนในไทยระบาด แนะนําให้ลงทุนหุ้น Defensive stock อาทิ หุ้นโรงไฟฟ้า (GULF, BGRIM, GPSC) ขณะที่การลงทุนระยะกลาง-ยาว หากสถานการณ์คลี่คลาย (เราให้น้ําหนักมากกว่า) ให้ลงทุนหุ้นกลุ่มเปิดเมืองและหุ้นท่ีสอดคล้องกับเศรษฐกิจขาขึ้น (Recovery theme) อาทิ CPALL, CPN, AOT, KBANK, SCB, ORI, SPALI
