PTG ประกาศแผนธุรกิจ ตั้งงบลงทุน 4,000-4,500 ล้านบาท เดินหน้าลุยโปรเจ็ค Non-Oil เต็มสูบ ปรับแผยการขยายสถานีบริการน้ำมันให้มีขนาดใหญ่ ทันสมัยมากขึ้น รองรับการเพิ่มผลิตภัณฑ์ Non-oil มีการการขยายสาขาออโตแบ้ค แก๊ส LPG กาแฟ มินิมาร์ท รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาด โดยเฉพาะธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะ RBF ที่อยู่ระหว่างการรอการประกาศเงื่อนไขและขั้นตอนของการรับซื้อจากภาครัฐ ระบุหากมีความชัดเจนก็พร้อมเข้าลงทุนในทันที ขณะที่บริษัทย่อย “พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์” พร้อมต่อยอดธุรกิจ ต่อยอดสุ๋ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ทั้งน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภค  ผลิตภัณฑ์เซรั่ม สบู่เหลว ขณะที่แผนการ Spin-Off เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ คาดยื่นไฟลิ่ง พร้อมเข้าจดทะเบียนใน SET ได้ภายในปีนี้

 

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หลังธุรกิจน้ำมันเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งสัดส่วน Non-oill เพิ่มขึ้นแตะที่ระดับ 20% จากปีก่อนที่ 10% ซึ่งเป็นไปตามการขยายสาขาและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ วางขาย พร้อมคาดยอดขายน้ำมันดิบจะเติบโตราว 8-10% จากปีก่อน

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็นการแตกไลน์ธุรกิจออกจากธุรกิจน้ำมัน มีทั้ง น้ำมันพืช, มินิมาร์ท กาแฟ แก๊สหุงต้ม LPG เป็นต้น โดยมีกำลังการผลิตน้ำมันพืช ภายใต้แบรนด์ “มีสุข” จำนวน 200,000 ลิตรต่อวัน ทำการวางจำหน่ายราว 2ล้านขวดต่อต่อดือน คาดทั้งปีจะมีรายได้จากน้ำมันพืชโต 2 หลัก โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะมีสาขากาแฟพันธุ์ไทย เพิ่มขึ้นเป็น 600 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 200 สาขา เพื่อพยายามปรับเปลี่ยนสัดส่วนรายได้ให้ไปเป็น Non-Oil มากขึ้น

ส่วนออโตแบคส์ ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมดราว 26 สาขา ซึ่งในปีนี้จะเพิ่มอีก 30 สาขา หากแล้วเสร็จจะทำให้ปีนี้บริษัทมีสาขาออโตแบคส์รวมเป็น 56 สาขา รวมถึงมุ่งมั่นผลักดันให้แก๊สหุงต้ม LPG ให้มีมาร์เก็ตแชร์ปรับตัวขึ้นมาเป็นอันดับ 3 จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่อันดับ 6

สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ ตั้งงบไว้ที่ 4,000-4,500 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้เงินราว 1,500-2,000 ล้านบาท สำหรับการขยายสถานีน้ำมันเพิ่ม ซึ่งได้ปรับลดการเปิดสาขาปั้มน้ำมันใหม่ลงเป็น 80-120 สาขาในปีนี้ มุ่งเน้นขนาดสาขา Type A (ใหญ่) ซึ่งจะเลือกขยายไปในโลเคชั่นที่ดี ติดถนนใหญ่ เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ Non-oil เข้าไปวางขายตามสาขาต่างๆ มากขึ้น โดยปีนี้จะเริ่มขยายสาขากลับเข้ามาใกล้เมืองกรุงเทพฯ และปรับสาขาให้มีความทันสมัย สอดรับตามเทรนด์ปัจจุบัน

นอกจากนี้ ใช้เงินลงทุนราว 1,500 ล้านบาท สำหรับธุรกิจ Non-Oil เช่น ออโตแบ้ค แก๊ส LPG น้ำมันพืช กาแฟ มินิมาร์ท เป็นต้น และอีก 500-1,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาด โดยปัจจุบันกำลังให้ความสนใจกับธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะ RBF พื้นที่เขตหาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดใหม่ๆ ที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการรอการประกาศเงื่อนไขและขั้นตอนของการรับซื้อจากภาครัฐ หากมีความชัดเจนก็พร้อมเข้าลงทุนในทันที โดยเบื้องต้นจะเป็นการก่อสร้างบนพื้นที่ใหม่ (Greenfill) ขนาดกำลังการผลิต 6 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ความงามที่มาจากน้ำมันปาล์ม ซึ่งได้มีการผลิตและออกวางจำหน่ายบ้างแล้ว ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เซรั่ม สบู่เหลว โดยถือว่ากำลังอยู่ในช่วงของทดลองตลาด และมีการศึกษาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อนำไปต่อยอดเอาน้ำมันปาล์มมาแปรรูป

สำหรับภาพรวมผลงานน้ำมันดิบในช่วงไตรมาสที่ 4/64 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/64 พบว่าค่าการตลาดในไตรมาส 1/64 ทำได้ดีกว่าในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เป็นผลจากกลยุทธ์การดำเนินงานและการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขาย ควบคู่กับค่าการตลาดปกติ จึงทำให้ค่าการตลาดรวมขยับเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าค่าการตลาดทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ 1.7-1.8 บาท

ส่วนแผนการนำบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทลูกของ PTG ซึ่งทำธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ คาดว่าจะทำการยื่นไฟลิ่งได้ในช่วงไตรมาส 2/65 หากเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ก็คาดว่าจะสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Spin-Off) ได้ภายในปีนี้ ซึ่งเงินระดมทุนที่ได้จะนำไปต่อยอดด้านธุรกิจปลายน้ำและส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท

“ปัจจุบันพีทีที กรีน คอมเพล็กซ์ มีทุนจดทะเบียน 1,600 ล้านบาท โดย PTG ถือหุ้นในสัดส่วน 40% ส่วนที่เหลือถือหุ้นโดยพาร์ทเนอร์ มีรายได้เฉลี่ยราว 4-5 พันล้านบาทต่อปี มีการใช้กำลังการผลิตปาล์ม ไบโอดีเซล อยู่ที่ 60-70% ซึ่งลดลงตามความต้องการของผู้บริโภค และสัดส่วนกำลังการผลิตน้ำมันพืช 100% โดยในอนาคตอาจทำการขยายและสร้างผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในส่วนของปาล์ม คอมเพลกซ์ ต่อไป” นายรังสรรค์ กล่าว

*********

- Advertisement -