EE เผยแผนงานอนาคตหลังเบนเข็มเข้าสู่ธุรกิจกัญชง กัญชา เต็มรูปแบบ ประเมินสามารถปลูกได้ประมาณ 3-4 crop ต่อปี คิดเป็นประมาณการรายได้ไม่น้อยกว่า 330 ล้านบาทต่อปี ยึดยุทธศาสตร์สร้าง Supply Chain กัญชงครบวงจร ใหญ่สุดในอาเซียน เตรียมเพิ่มผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตั้งเป้าเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจกัญชงครบวงจร ด้านโบรกฯ มองหุ้น EE  มี upside สูงราว 43% จากราคาเป้าหมายที่ 3 บาทต่อหุ้น จากภาพรวมของตลาดที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์จากกัญชงสูง ทั้งในอุตสาหกรรมการแพทย์ รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ตามกระแสความนิยมบริโภคกัญชงที่เพิ่มขึ้น

 

นายวรศักดิ์ เกรียงโกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE เปิดเผยว่า หลังจากที่บริาทประกาศงบการเงินที่มีกำไรสุทธิปี 2564 กว่า 195 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 3,816% จากปีก่อน โดยบริษัทยังคงยึดมั่นเป้าหมายเดิมคือเป็นผู้ดำเนินธุรกิจกัญชงครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ตามที่บริษัทเคยประกาศจะพัฒนาในธุรกิจกัญชง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง และด้วยกฎหมายที่อำนวยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรเชิงพาณิชย์ได้อย่างถูกต้อง

“วันนี้ EE เริ่มก้าวแรกอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการลงทุนในกัญชงต้นน้ำ กับบริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด หรือ CW เจ้าของโรงเรือน Green House ขนาด 9,000 ตร.ม.ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีศักยภาพสูง และป้อนวัตถุดิบคุณภาพสู่ตลาดได้จำนวนมาก พร้อมสัญญารับซื้อที่มีในมือที่มีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ทั้งนี้ บริษัทประสบความสำเร็จจากงานเพาะปลูกแล้ว โดยบนพื้นที่ 9,000 ตร.ม. สามารถปลูก crop (รอบการปลูก) แรกจำนวน 50,000 ต้น แบ่งเป็น indoor และ outdoor อย่างละ 30,000 และ 20,000ต้น ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะได้ช่อดอกแห้งไม่น้อยกว่า 5,000 กิโลกรัม ซึ่งมีราคาขายประมาณ 15,000 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าการผลิตจะมีสาร CBD ไม่น้อยกว่า 15% โดยคาดว่าจะสามารถปลูกได้ประมาณ 3-4 crop ต่อปี คิดเป็นประมาณการรายได้ไม่น้อยกว่า 330 ล้านบาทต่อปีสำหรับโครงการ CW

ส่วนเป้าต่อไปคือ การพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ำที่ปัจจุบันได้ศึกษามาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า จะใช้เทคโนโลยีอะไร เหลือเพียงสรุปรายละเอียดเรื่องพันธมิตร รวมถึงเรื่องอุปกรณ์ สเปกเครื่องสกัดอีกเล็กน้อย โดยตั้งเป้าแถลงถึงโครงการสกัดกลางน้ำในไตรมาส 2 และคาดว่าจะสร้างรายได้ในไตรมาส 4/65

สำหรับในส่วนอุตสาหกรรมปลายน้ำ ตั้งเป้าจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เชิงสุขภาพ Premium Supplement Products ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงสุดหากเทียบกับประเภทอื่นๆ และมีคุณภาพตอบสนองกลุ่มเป้าหมายในระดับพรีเมียม (Premium Class) โดยบริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้สู่ตลาดภายในปี 2566 หรือเมื่อ supply ของวัตถุดิบหรือสารสกัดจากกัญชงในโครงการต้นน้ำของกลุ่มบริษัท EE มีปริมาณและเสถียรภาพมากพอ

“Roadmap ทั้งหมดนี้ ถือเป็นการเดินตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ขององค์กร นั่นคือ EE ตั้งเป้าจะเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจกัญชงครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยจะนำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Smart Farming) และการสกัด ผนวกกับทีมงานวิจัยด้านต่างๆ เพื่อเชื่อมรวมเข้าด้วยกันและนำสู่ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงสุด” นายวรศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ล่าสุดนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI) ได้ประเมินราคาบริษัท EE (ณ วันที่ 26 มกราคม 2565) ไว้ที่ 3 บาทต่อหุ้น โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า ตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์จากกัญชงสูง เนื่องจากสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยเฉพาะสารสกัด CBD จากช่อดอกกัญชง รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กระแสความนิยมบริโภคกัญชงคาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1-3 ปีแรก จะเป็นปัจจัยหนุนราคาผลิตผลกัญชง เนื่องจากอุปทานยังมีจำกัด รวมทั้งภาครัฐยังมีการสนับสนุนด้วยการห้ามนำเข้าผลิตผลจากกัญชงไปอีก 4 ปี (ถึงปี 2568) จะเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลการดำเนินงานที่ดีของ EE ผลิตผลจากกัญชงจากแหล่งเพาะปลูกของ CW มีสัญญารับซื้อจากผู้ประกอบการขั้นกลางน้ำแล้ว

จากการประเมินการดำเนินงานของ CW เพียงโครงการเดียว คาดกำไรเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565 ถึงปี 2567 จึงแนะนำซื้อ ราคาเป้าพื้นฐานที่หุ้นละ 3.0 บาท มี upside ราว 43% จากราคาปัจจุบัน

******

- Advertisement -