A5 เตรียมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันที่ 7 มีนาคมนี้ หลังได้รับไฟเขียวจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ชูผลงานปี 64 ทำกำไรสุทธิ 135.67 ล้านบาท เติบโต 129% จากปีก่อน ตั้งเป้าหมายยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 20% เตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ในกรุงเทพฯ และอุดรธานี มูลค่าโครงการรวม 3,200 ล้านบาท ชูจุดเด่นเป็นดีเวลอปเปอร์ที่สร้างความแตกต่าง ด้วยการพัฒนาโครงการที่ไม่เหมือนใคร
นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ขณะนี้บริษัทได้รับการอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย โดยหุ้น A5 จะเริ่มเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคมนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทได้วางเป้าหมายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งมั่นเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งในตลาดนิชมาร์เก็ต และเป็นดีเวลอปเปอร์ที่สร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด ด้วยการพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชันที่ไม่เหมือนใครและเป็นทางเลือกใหม่แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ มั่นใจว่า ด้วยจุดแข็งของบริษัทที่มีความคล่องตัวสูงและโอกาสขยายการลงทุนพัฒนาโครงการในพื้นที่ต่างๆได้อีกมาก จึงทำให้ A5 เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตที่ดีในระยะยาว
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 135.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 59.19 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ (รายได้รวม) 855.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 826.9 ล้านบาท
ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) มีมติเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล ในอัตรา 0.01 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินกว่า 12 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 3 พฤษภาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2565
สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 มองว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง หากเป็นโครงการที่มีคุณภาพ มีการออกแบบบ้านและฟังก์ชันตอบโจทย์การอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายและตั้งอยู่ในทำเลเดินทางสะดวก โดยเฉพาะเซ็กเมนต์บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ซึ่งแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ บริษัทจึงวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3,200 ล้านบาท ในจำนวนนี้จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 1 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท และอุดรธานี 2 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ระดับราคา 2.59 – 4 ล้านบาท
ด้านแผนงานในปีนี้ ตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ (รายได้รวม) ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนประมาณ 20% โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 80% เช่น โครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ เฟสสุดท้าย และโครงการใหม่ที่เปิดปลายปีนี้ อีก 20% จะมาจากโครงการในต่างจังหวัด ได้แก่ โครงการรชยา จังหวัดอุดรธานี ทั้ง 2 โครงการ
“เราวางเป้าหมายเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นในปีนี้ จากแผนเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบ 3 โครงการ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ ที่จะเป็นโปรเจ็กต์ไฮไลต์อีกหนึ่งในโครงการของปีนี้ เน้นจับตลาดนิชมาร์เก็ตในเซ็กเมนต์ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ซึ่งมองว่ายังมีช่องว่าง ส่วนการเปิดโครงการใหม่ในอุดรธานี เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูงและลูกค้าค่อนข้างมีคุณภาพ บริษัทได้พัฒนาแบบบ้านรุ่นใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว มาตรการลดหย่อนค่าธรรมการโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะส่งผลดีต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย” นายศุภโชค กล่าว
*****