บล.พาย:
SCB:สู่การเดินทางครั้งใหม่
บริษัทโฮลดิ้งใหม่จะเอื้อให้ SCB สามารถปลดล็อกศักยภาพการเติบโตระดับสูงของกลุ่มบริษัทในเครือได้ คาดกำไรของธนาคารจะโตต่อเนื่องในปี 2022-23
- SCBX ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของธนาคารเพื่อแลกเปลี่ยนกับหลักทรัพย์ของบริษัท ในอัตราแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ที่ 1 หุ้นสามัญธนาคาร ต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX และ 1 หุ้นบุริมสิทธิของธนาคาร ต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX
- แนะนำให้นักลงทุนใช้สิทธิแลกหุ้นของธนาคารเพื่อหุ้น SCBX เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจใหม่จะเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มให้แข็งแกร่งขึ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการกับลูกค้าได้มากขึ้น
- คาดกำไรสุทธิของธนาคารจะโต 18% YoY ในปี 2022 และ 11% ในปี 2023 หนุนจากการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง และรายได้การดำเนินงานที่สูงขึ้น
- มูลค่าพื้นฐานคำนวณด้วยวิธี Gordon Growth (ROE 10% อัตราการเติบโต 2%) อิง 1.1x PBV’22E หรือคิดเป็น -0.5SD ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี
คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 149 บาท คำแนะนำนี้สะท้อนกำไรที่เติบโตอย่างมั่นคง คุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง และสถานะผู้นำในบริการดิจิทัลแบงก์กิ้ง
SCBX tentative timeline
SCBX จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของธนาคาร โดยการออกและเสนอขายหุ้นสำมัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคาร ในอัตราการแลกหลักทรัพย์เท่ากับ 1 หุ้นสามัญธนาคาร ต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX และ 1 หุ้นบุริมสิทธิของธนาคาร ต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. – 18 เม.ย.
ทั้งนี้ ในการทำคำเสนอซื้อดังกล่าว SCBX จะยกเลิกคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ หากจำนวนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายมีจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 90 ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของธนาคาร
ภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของธนาคารเสร็จสิ้น หลักทรัพย์ของ SCBX จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนหลักทรัพย์ของธนาคาร ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันเดียวกัน โดยทางบริษัทจะใช้สัญลักษณ์เดิมคือ SCB บนตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป
ส่วนภาพในอนาคต ธนาคารมีแผนปลดล็อกมูลค่าของบริษัทย่อย ด้วยการนำบริษัทเหล่านั้นจดทะเบียนบนตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยประเมินว่าธนาคารจะสามารถใช้เงินทุนของตนมาขยายทั้งกิจการธนาคารและแพลตฟอร์มบริการทางการเงินใหม่ๆ ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งใหม่ แต่ภาพรวมกำไรสุทธิของ SCBX ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับธุรกิจการปล่อยสินเชื่อผ่านหน่วยธุรกิจธนาคาร และ Card X ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
แต่ยังจะคงประมาณการกำไรสำหรับ SCB ตามเดิมเอาไว้ก่อน เพื่อรอรายละเอียดเพิ่มเติมจากธนาคารหลังธุรกรรมนี้เสร็จสิ้น ขณะที่คาดว่ากำไรของธนาคารจะโต 18% YoY ในปี 2022 และโตอีก 10% YoY ในปี 2023 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากการตั้งสำรองที่ลดลง และรายได้การดำเนินงานที่สูงขึ้น
SCB ตั้งเป้าเป็นธนาคารเบอร์ 1 ในสายตาของผู้มีส่วนได้เสียแต่ละฝ่ายดังนี้:
1) ลูกค้า: ตั้งเป้าเป็นพันธมิตรเบอร์ 1
2) พนักงาน: ตั้งเป้าเป็นนายจ้างที่ดูแลพนักงานที่ดีที่สุด
3) ผู้ถือหุ้น ตั้งเป้าเป็นบริษัทที่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงมากที่สุด
4) สังคมและสิ่งแวดล้อม: ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคมมากที่สุด
5) หน่วยงานกำกับดูแล: ตั้งเป้าเป็นธนาคารที่มีความรอบคอบมากที่สุด
สำหรับการจ่ายเงินปันผลของธนาคาร การโอนย้ายบริษัทย่อย และการโอนย้ายธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันนั้น ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยการรับโอนย้ายบริษัทย่อยคาดว่าจะใช้เงินทุนจากเงินที่ได้รับจากการจ่ายเงินปันผลของธนาคาร และการโอนย้ายธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน คาดว่าจะใช้เงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายนอก มูลค่าการโอนย้ายบริษัทย่อยและธุรกิจทั้งหมดจะเท่ากับประมาณ 1.3 แสนล้านบาท (ประเมินในเบื้องต้นจากงบการเงิน ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2021) และจำนวนเงินปันผลทั้งหมดที่ขออนุมัติ ธปท. เท่ากับ 7.0 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินที่ต้องใช้ในการโอนธุรกิจส่วนที่เหลืออาจพิจารณาจากแหล่งเงินกู้จากภายนอก หรือเงินกู้จากธนาคาร ทั้งนี้ บริษัทจะกู้เงินจากธนาคารได้โดยที่ไม่ทำให้ยอดเงินกู้โดยบริษัทย่อยที่ไม่จัดอยู่ในกลุ่ม Solo Consolidation รวมกันแล้วเกิน 25% ของเงินกองทุนของกลุ่ม Solo Consolidation
สรุปผลประกอบการ
- กำไรก่อนตั้งสำรองใน 4Q21 โตขึ้น 8% YoY (+4% QoQ) มาอยู่ที่ 2.19 หมื่นล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ในด้านอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ก็เพิ่มขึ้น 11bp QoQ เป็น 3.20% แต่ด้วยค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่สูงตามฤดูกาล จึงทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้เพิ่มเป็น 44% ใน 4Q21 (3Q21: 42.8%)
- กำไรสุทธิสอดคล้องกับคาดการณ์ที่ 7.9 พันล้านบาท โต 59% YoY (-11% QoQ) โดยที่ลดลง QoQ มีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน และการตั้งสำรองหนี้ที่สูงขึ้น ธนาคารมีการตั้งสำรองพิเศษเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านงบดุลในช่วงที่มีประเด็นความกังวลเกี่ยวกับโควิด-19
- กำไรสุทธิทั้งปี 2021 ฟื้นตัวขึ้น 31% YoY เป็น 3.56 หมื่นล้าน บาท (2020: -33%) หนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลงและรายได้การดาเนินงานที่สูงขึ้น
- สินเชื่อโต 0.9% QoQ ใน 4Q21 จากอุปสงค์กลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อยที่สูงขึ้น
- อัตราส่วนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อ (NPL ratio) ลดลงเหลือ 3.8% ใน 4Q21 (3Q21: 3.9%) จาก NPL กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ลดลง ในด้านอัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้ปรับเพิ่มเล็กน้อยเป็น 139% (3Q21: 138%) จากการตั้งสำรองเพิ่มเติม
Revenue breakdown
รายได้ของธนาคารในปี 2021 มาจาก 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย
(1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิคิดเป็น 67% ของรายได้ทั้งหมดของธนาคารในปี 2021 โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเป็นรายได้ส่วนที่มากที่สุด และหากสินเชื่อของธนาคารมีการเติบโต และ NIM ที่สูงขึ้นจะส่งผลให้รายได้ส่วนนี้ปรับตัวสูงขึ้น
(2) รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการคิดเป็น 27% ของรายได้ทั้งหมดของธนาคารในปี 2021 โดยธุรกิจส่วนนี้ประกอบด้วยรายได้จากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมประกันธนาคาร และค่าธรรมเนียม Wealth Management
(3) รายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ คิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมดของธนาคารในปี 2021 รายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ส่วนใหญ่เกิดจากกำไรการลงทุน การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และเงินปันผล







