NER เตรียมปิดดีลลูกค้ารายใหญ่จากแดนภารตะ หลังพาคณะเยี่ยมชมโรงงาน ประทับใจในคุณภาพ รวมทั้งกระบวนการผลิต ได้รับผลตอบรับอย่างดีเยี่ยม ด้านแผนงานปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายแตะระดับ 2.8 หมื่นล้าน ยอดขายยางพาราอยู่ที่ 5 แสนตัน พร้อมปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน วางเป้ายอดขายในประเทศที่ 65% ส่วนต่างประเทศอยู่ที่ 35% ระบุเพื่หลีกเลี่ยงอัตราค่าระวางเรือที่ปรับเปลี่ยนในทิศทางที่สูงขึ้น ทั้งเชิญชวนผู้ถือ NER-W1 ใช้สิทธิแปลงสภาพ นำเงินที่ได้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ รองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆและกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปีนี้ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวมอยู่ที่ 28,000 ล้านบาท ส่วนปริมาณการขาย คาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 510,000 ตัน โดยสัดส่วนของยอดขายในปี 2565 บริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศที่ 65% และต่างประเทศที่ 35% เพื่อหลีกเลี่ยงอัตราค่าระวางเรือที่ปรับเปลี่ยนในทิศทางที่สูงขึ้น โดยมองว่า ความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่องหากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ซึ่งจะทำให้มีการคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางอากาศ และทางเรือสูงมากขึ้น ส่งผลดีต่อความต้องการใช้ธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์สงครามรัสเชีย ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวสูงขึ้น ส่วนความคืบหน้าการเจรจาลูกค้าอินเดีย ล่าสุดทางลูกค้าเดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงงาน เพื่อพิจารณาคุณภาพและตรวจสอบสินค้า และได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยม
ขณะเดียวกัน บริษัทขอเชิญชวนผู้ถือวอร์แรนต์ (NER-W1) ให้แจ้งการใช้สิทธิแปลงสภาพครั้งสุดท้าย ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 โดยมีระยะเวลาการแจ้งความจำนงในการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายระหว่างวันที่ 11 – 25 พฤษภาคม 2565 ณ สถานที่ติดต่อในการใช้สิทธิคือ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ณ อาคารเซ็นทรัลซิตี้บางนา ชั้น 28 กรุงเทพฯ โดยใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทได้ 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิ 1.80 บาทต่อหุ้น
สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงิน เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ รองรับการขยายกำลังการผลิตและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น จากนโยบายของบริษัทที่เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และช่วยเสริมให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่เข้มแข็งขึ้น สำหรับการขยายการดำเนินงานในอนาคต
**********