บล.โกลเบล็ก:

THAI NAKARIN HOSPITAL PCL. (TNH)

กำไร 6M65 คิดเป็น 73% ของประมาณกลางปี 65 จึงปรับประมาณการกำไร +20%

  • งวด 2Q65 กำไรสุทธิ 118.6 ลบ. -16%QoQ +140%YoY
  • ปรับประมาณการกำไรปี 2565 เพิ่มขึ้น 20%
  • อนาคตยังมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง
  • คงคำแนะนำ ซื้อ ปรับราคาเหมาะสมปี 65 เพิ่มเป็น 47.80 บาท

ประเด็นสำคัญในการลงทุน

  • งวด 2Q65 กำไรสุทธิ 118.6 ลบ. -16%QoQ +140%YoY: งวด 2Q65 (สิ้นสุด 31 ม.ค. 65) มีกำไรสุทธิที่ 118.6 ล้านบาท เป็นไปตามที่คาด โดยลดลง 16%QoQ แต่เติบโต 140%YoY เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดเพิ่มขึ้น ทางโรงพยาบาลฯ ได้ขยายให้บริการตรวจคัดกรองด้วยเทคนิค RT-PCR เปิดสถานที่กักตัวทางเลือก (ASQ/AQ) สถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) และสถานที่กักตัวในชุมชน (Community Isolation) ร่วมกับบริษัทคู่สัญญา ตั้งแต่ 4Q64 ทำให้อัตราการครองเตียงและรายได้ต่อการรับไว้เป็นผู้ป่วยในเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีรายได้ค่ารักษาพยาบาล 666 ล้านบาทลดลง 4%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 36%YoY อัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 31% จาก 33% ใน 1Q65 และ 21% ใน 2Q64 เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง กำไร 6M65 เท่ากับ 260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 117%YoY คิดเป็น 73% ของประมาณการปี 65 เดิมที่ 357 ล้านบาท
  • ปรับประมาณการกำไรปี 65 เพิ่มขึ้น 20% : แม้ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่เชื้อที่กลายพันธุ์ทำให้จำนวนผู้ป่วยหนักลดลง แต่มีปริมาณคนไข้เข้าตรวจสุขภาพประจำปี และผ่าตัดเล็กมากขึ้น  ประกอบกับโรงพยาบาลมีบริการตรวจห้องแลปทดสอบการติดเชื้อโควิด-19 และบริการทดสอบ RT-PCR และ ATK SWAP นอกสถานที่ ทำให้คาดว่าผลประกอบการในช่วง 3Q65 (สิ้นสุด เม.ย. 65) น่าจะทรงตัว QoQ ซึ่งเติบโต YoY ขณะที่ในช่วง 2H65 ผู้บริหารมีนโยบายกลับสู่การประกอบการปกติ ในการเดินหน้าศูนย์ส่งเสริมสุขภาพองค์รวม (Thainakarin Wellness Center) ศูนย์รังสีรักษาโรคมะเร็งที่คาดจะเริ่มบริการราวมิ.ย. 65 เพื่อสะท้อนรายได้ที่เติบโตดี ฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการรายได้เพิ่มขึ้น 12% จากเดิมเป็น 2,553 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 25%YoY และขยับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นเล็กน้อยจาก 28% เป็น 28.4% ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 (สิ้นสุด ก.ค. 65) เพิ่มขึ้น 20% จากเดิมเป็น 430 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 47%YoY สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
  • อนาคตยังมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง : การเติบโตในอนาคตของธุรกิจโรงพยาบาลสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ระยาวของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพ 4 ด้าน ได้แก่ ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) ศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) และศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub) เมื่อเดือนธ.ค. 64 บอร์ดบริษัทได้อนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ถือหุ้น 99.97% โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนประกอบธุรกิจเพื่อสุขภาพและโรงแรม ในการขยายฐานลูกค้าที่เป็นผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง ช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมจากธุรกิจหลัก ส่วนศูนย์รังสีรักษา (Linac Center) เพื่อให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งคาดจะแล้วเสร็จและเริ่มบริการได้ราวเดือนมิ.ย. 65 (รวมในประมาณการแล้ว) ขณะที่โครงการโรงพยาบาลไทยนครินทร์ 2 ที่ปรับการก่อสร้างเป็นการทยอยทําทีละเฟสย่อย จึงไม่มีภาระในการกู้เงิน เนื่องจากสามารถใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานราวไตรมาสละ 200-250 ล้านบาทมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการก่อสร้าง ซึ่งได้สะท้อนในประมาณการแล้ว
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสำหรับปี 65 เป็น 47.80 บาท (จากเดิม 39.80 บาท) : ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ ในการประเมินมูลค่าเหมาะสม ซึ่งอิง Prospective P/E ที่ระดับเดิม 20 เท่า ยังต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับ P/E กลุ่มในตลาด mai ที่ระดับ 56 เท่า และ P/E กลุ่มในตลาด SET ที่ 35 เท่า ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ที่ 15 เท่า จากประมาณการใหม่มีกำไรต่อหุ้นปี 65 เพิ่มขึ้นเป็น 2.39 บาท (จากเดิม 1.99 บาท) คำนวณราคาเหมาะสมใหม่ปี 65 เพิ่มขึ้นเป็น 47.80 บาท (เดิม 39.80 บาท) ซึ่งมีอัพไซต์จากราคาปิดล่าสุด 29% พร้อมคาดการณ์ dividend yield ราว 1.9% ต่อปี จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
- Advertisement -