KWM เผยงบไตรมาส 1/65 มีรายได้จากการขายแตะ 175.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.15% รับอานิสงส์ธุรกิจเกษตรสดใส ส่งผลความต้องการใช้อุปกรณ์เครื่องจักรพุ่ง ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 15.87 ล้านบาท ลดลง 36.62% เมื่อเทียบกับปีก่อน ระบุเป็นผลจากต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมปรับกลยุทธ์รับมือต้นทุนวัถุดิบพุ่ง เดินหน้าเพิ่มเครื่องจักรระบบออโตเมชั่น รวมทั้งคลังสินค้ารองรับไฮซีซั่นธุรกิจ มั่นใจหนุนรายได้ทั้งปีโต 10-15% ตามแผน
นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้จากการขาย 175.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.74 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 14.15% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 15.87 ล้านบาท ลดลง 9.17 ล้านบาท หรือลดลง 36.62% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับสาเหตุที่รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจากภาคเศรษฐกิจการเกษตรที่ขยายตัว ประกอบกับฝนที่ตกต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 ถึงต้นปี 2565 ส่งผลให้สภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้การผลิตพืชเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว หนุนให้การเติบโตของยอดขายทั้งในส่วนของบริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ยกเว้นสินค้ากลุ่มใบเกลียวที่ยอดขายลดลง ขณะที่สินค้ากลุ่มโครงผาล เป็นกลุ่มที่มียอดขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด ส่วนสินค้ากลุ่มอื่นๆ มียอดขายเพิ่มขึ้น ทำให้โดยรวมแล้ว รายได้จากการขายเติบโตขึ้น 14.15% ของรายได้จากการขายในงวดเดียวกันของปีก่อน
“ไตรมาสแรกของปีนี้ ต้องยอมรับว่า ต้นทุนการขายปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 25.77% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากราคาเหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าของบริษัทเป็นหลักปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาสินค้าอื่นๆ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จึงส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงสัดส่วนการขายใบเกลียวที่ลดลง เนื่องจากใบเกลียวเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นดีที่สุดในทุกผลิตภัณฑ์ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสนี้”
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/65 ยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง จากความต้องการใช้สินค้าเกษตรที่ยังคงเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2565 ที่คาดว่าจะเติบโตอยู่ในช่วง 2-3% เมื่อเทียบกับปี 2564 จากทุกสาขาการผลิต จากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาครัฐมีความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ส่งเสริมให้เกษตรกรมีการบริหารจัดการด้านการผลิตและการตลาดที่ดี มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้มีความต้องการสินค้าเกษตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นตาม
ขณะเดียวกัน บริษัทได้มีการเพิ่มเครื่องจักรในการผลิตไลน์ใหม่ ซึ่งเป็นไลน์การผลิตที่ 3 ในระบบออโตเมชั่นที่สามารถลดการใช้แรงงานและสามารถผลิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มคลังสินค้า เพื่อรองรับความต้องการสินค้าช่วงไฮซีซั่นที่มีความต้องการสินค้ามากกว่าช่วงเวลาปกติ 2-3 เท่าตัว ซึ่งคลังสินค้าดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/65 นี้ และจากความมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่า การเติบโตรายได้รวมในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 10-15 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาตามแผนที่วางไว้
**********