บล.พาย:
GPSC: กำไรดีขึ้นจากการปรับค่าไฟฟ้า
คงคำแนะนำ “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 69.0 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดเงินสด (DCF) (WACC 5.7%, TG 1%) อิง 32x PE’23E มูลค่าพื้นฐานนี้สะท้อนภาพรวมธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่อ่อนแอในปี 2022 เพราะเผชิญกับแรงกดดันจากต้นทุนก๊าซที่สูง
- คาดกำไร 2Q22 จะดีขึ้น QoQ จาก 1) อัตรากำไรในธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ที่ดีขึ้น หนุนจากการปรับเพิ่มค่า Ft 2) การรับรู้กำไรเต็มไตรมาสจากโครงการ GE เฟส 5 หลังจากปิดซ่อมบำรุงใน 3Q21-1Q22 และ 3) ส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นจากโครงการ XPCL เพราะระดับน้ำที่ฟื้นตัวขึ้น
- ภาพรวมทั้งปี 2022 ยังอ่อนแอ เพราะคาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) จะหดตัวลง 37% YoY จากอัตรากำไรกลุ่ม SPP ที่เผชิญกับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากต้นทุนก๊าซระดับสูง แต่มีมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมปี 2023 มากขึ้นเมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวของอัตรากำไร และส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นจากโครงการ Avaada ในอินเดีย (AEPL)
- คาดธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) จะมีทิศทางที่ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป แต่ส่วนแบ่งกำไรจะยังไม่เข้ามาจนกว่าจะถึงช่วง 2024-25 เป็นต้นไป
คาดกำไร 2Q22 จะปรับดีขึ้น QoQ
- ต้นทุนเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น (ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน) ในช่วง 2Q21-1Q22 ได้ฉุดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของบริษัทลงจาก 32% ใน 1Q21 เป็น 10% ใน 1Q22 ขณะที่ยังเล็งเห็นปัจจัยค้างคาที่จะดำรงอยู่ต่อเนื่องจนถึง 2H22 และฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากนั้น เพราะคาดว่าราคาก๊าซจะกลับสู่ระดับปกติ
- ประเมินว่าการปรับเพิ่มค่า Ft (ค่าไฟฟ้า) เป็น 0.2477 บาท/kWh สำหรับเดือน พ.ค.-ก.ย. 2022 จาก 0.0139 บาท/kWh ในเดือน ม.ค.-เม.ย. 2022 จะช่วยชดเชยราคาก๊าซที่สูงขึ้น 440 บาท/MMBTU ใน 1Q22 (+116% YoY, +47% QoQ) และหนุนอัตรากำไรกลุ่ม SPP ของบริษัทขึ้นได้
- ดังนั้นจึงคาดว่ากำไร 2Q22 จะปรับดีขึ้น QoQ จาก 1) อัตรากำไรในธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ที่ดีขึ้น หนุนจากการปรับเพิ่มค่า Ft 2) การรับรู้กำไรเต็มไตรมาสจากโครงการ GE เฟส 5 หลังจากปิดซ่อมบำรุงใน 3Q21-1Q22 และ 3) ส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นจากโครงการ XPCL เพราะระดับน้ำที่ฟื้นตัวขึ้น
- ภาพรวมทั้งปี 2022 ยังอ่อนแอ เพราะคาดว่า EPS จะหดตัวลง 37% YoY จากอัตรากำไรกลุ่ม SPP ที่เผชิญกับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากต้นทุนก๊าซระดับสูง แต่มีมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมปี 2023 มากขึ้น เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวของอัตรากำไร และส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นจากโครงการ Avaada ในอินเดีย (AEPL)
เน้นการพัฒนาธุรกิจพลังงานทดแทน EV และ ESS
- บริษัทเพิ่มสัดส่วนการถือครองใน Avaada เป็น 43% จาก 41.6% ใน 1Q22 โดยคาดว่าส่วนแบ่งจากโครงการนี้ที่ปัจจุบันยังขาดทุนจะฟื้นตัวขึ้น และช่วยหนุนการเติบโตด้านกำไรสุทธิของบริษัทตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตขึ้นเป็น 11GW ภายในปี 2025 จากปัจจุบันที่ 4.6GW คิดเป็นการเติบโตของกำลังการผลิตอีก 40% (2.6GWe)
- บริษัทประกาศการโอนสินทรัพย์เกี่ยวกับธุรกิจแบตเตอรี่ให้กับ NUOVO Plus (บริษัทร่วมทุนกับบริษัทย่อยของ PTT อย่าง Arun Plus) ประกอบด้วยโรงผลิตแบตเตอรี่ 30MWh/ปี ในไทย การถือครองหุ้น 11% ในโรงผลิตแบตเตอรี่ Axxiva ในจีน ด้วยกำลังการผลิตที่ 1.0GW/ปี ขณะที่คาดว่าธุรกิจ EV และ ESS จะมีทิศทางที่ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้น ไป แต่ส่วนแบ่งกำไรจะยังไม่เข้ามาจนกว่าจะถึงช่วง 2024-25 เป็นต้นไป
สรุปผลประกอบการ
- กำไร 1Q22 อยู่ที่ 313 ล้านบาท (-84%YoY, -73% QoQ) แตะจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
- กำไรออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ โดยมีปัจจัยฉุดมาจากอัตรากำไรในกลุ่ม SPP ที่ลดลงจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น (ก๊าซธรรมชาติ)
- GPM ใน 1Q22 ลดลงแตะจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3% เทียบ 20% ใน 1Q21 และ 8% ใน 4Q21 หลังจากต้นทุนเชื้อเพลิงจำพวกก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้น (+116% YoY, +47% QoQ) สืบเนื่องจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และอุปสงค์พลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้ราคาเชื้อเพลิงทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นก๊าซ น้ำมัน และถ่านหินปรับตัวสูงขึ้นทั้งหมด
- แต่รายได้ 1Q22 ปรับเพิ่มเป็น 2.73 หมื่นล้านบาท (64% YoY, 24% QoQ) จากยอดขายในโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และ SPP ที่แข็งแกร่ง และค่าไฟที่ปรับดีขึ้นจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
- การดำเนินงานในโครงการ IPP ยังแข็งแกร่ง หนุนจากยอดขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และค่าพลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้น
- ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมปรับเพิ่มขึ้น 19% QoQ เป็น 143 ล้านบาท หนุนจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ปรับดีขึ้นและผลขาดทุนจาก Avaada ที่น้อยลง
Revenue breakdown
GPSC มีสัดส่วนรายได้ก้อนใหญ่มาจากการจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งคิดเป็น 77% ของรายได้รวม GPSC มีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าหลากหลายประเภท ซึ่งรวมถึงพลังงานความร้อนร่วม พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานขยะ ส่วนลูกค้าที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้จะรวมถึง กฟผ. กลุ่ม PTT และลูกค้าอื่นๆ นอกกลุ่ม PTT
นอกจากไฟฟ้า บริษัทได้จำหน่ายไอน้ำให้กับกลุ่มผู้ใช้ภาคอุตสาหกรรม (IU) ผ่านท่อส่งไอน้ำของบริษัท ที่เชื่อมต่อเข้ากับโรงงานของลูกค้าโดยตรง โดยหน่วยธุรกิจนี้คิดเป็น 20% ของรายได้รวม
นอกจากนี้ บริษัทได้จำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมเพื่อการใช้งานในกระบวนการผลิตของลูกค้าอีกด้วย ซึ่งคิดเป็น 3% ของรายได้ทั้งหมด
ขณะที่มีสัดส่วนอัตรากำไรขั้นต้นมาจากโครงการ SPP มากที่สุด (73%) ตามด้วย IPP (25%) และอื่นๆ