บล.เอเซีย พลัส:

ทิศทางกำไรยังทำ NEW HIGH ใน 2Q65

คาดกำไรสุทธิงวด 2Q65 จะขึ้นทำ New high ต่อเนื่องมาที่ 960 ล้านบาท จากแนวโน้มสินเชื่อและรายได้นายหน้าประกันภัยเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมีนํ้าหนักมากกว่าแนวโน้ม Credit cost ที่สูงขึ้นบ้าง แม้คาด NPL/สินเชื่อสุทธิ จะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาที่ 1.4% แต่โดยรวมแล้วคาด Coverage ratio ณ สิ้นงวด 2Q65 ยังอยู่ในระดับสูงมากที่ 291% ถือว่าสูงสุดในอุตสาหกรรมฯ

คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโต 23% yoy จากแนวโน้มสินเชื่อและรายได้ค่านายหน้าประกันภัยเติบโตต่อเนื่อง  ขณะที่คาดกำไรสุทธิงวด 3Q65 จะยังดีต่อเนื่อง (และเติบโต YoY) จากแนวโน้มสินเชื่อและรายได้นายหน้าประกันภัยเติบโต กำหนด FV ปี 2565 เท่ากับ 42 บาท ราคาหุ้นปรับฐานไปกว่า 27% ในรอบ 4 เดือน สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและภาวะเงินเฟ้อไปมากแล้ว จึงยังแนะนำซื้อ รับการฟื้นตัวของธุรกิจปี 2565

แนวโน้มสินเชื่อหนุนทิศทางกำไร 2Q65 ทำ NEW HIGH ต่อเนื่อง

คาดกําไรสุทธิงวด 2Q65 เท่ากับ 960 ล้านบาท ขึ้นทำ New High ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน เพิ่มขึ้น 2.1% qoq และ 23.5% yoy มีปัจจัยสนับสนุนจาก

1) แนวโน้มสินเชื่อสุทธิงวด 2Q65 จะเติบโต 5.0% coq และ 25.8% yoy จากการเปิดเมืองหนุน กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อแนวโน้มความต้องการใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้น และผลบวกจากการขยายสาขาอีก 96 สาขาในงวด 2Q65 จนล่าสุด TIDLOR มีสาขาทั้งสิ้น 1,484 สาขา

2) คาดรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นงวด 2Q65 จะเติบโต 11.0% qoq และ 30.7% yoy มาที่ 661 ล้านบาท จากแนวโน้มรายได้ค่านายหน้าจากการขายประกันปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเดินทางและการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้น หนุนลูกค้าหันมาซื้อประกันภัยชั้น 1 เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าผลกระทบจากแนวโน้ม Credit cost งวด 2Q65 ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาที่ 1.2% จาก 0.9% ในงวดก่อน ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ กดดันแนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้บ้าง โดยคาด NPL/สินเชื่อสุทธิ ณ สิ้นงวด 2Q65 จะอยู่ที่ 1.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.3% ณ สิ้นงวด 1Q65 เล็กน้อย และคาด Coverage ratio ณ สิ้นงวด 2Q65 จะอยู่ที่ 291.4% แม้จะลดลงจาก 317.4% จากงวดก่อนบ้าง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงมากต่อเนื่อง และสูงสุดในอุตสาหกรรมผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียน

ขณะที่คาด Spread เฉลี่ยงวด 2Q65 จะอยู่ที่ 15.0% ทรงตัวจากงวดก่อน โดย Yields เฉลี่ยงวด 2Q65 จะทรงตัวจากงวดก่อนที่ระดับ 17.4% และคาด Cost of funds เฉลี่ยงวด 2Q65 จะทรงตัวใกล้เคียงงวดก่อนที่ 2.5% เช่นกัน

สำหรับแนวโน้มสัดส่วน Cost to income งวด 2Q65 จะทรงตัวใกล้เคียงงวด 1Q65 ที่ระดับ 57.5%

โดยรวมแล้ว คาดกำไรสุทธิงวด 1H65 เท่ากับ 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.7% yoy และ คิดเป็น 49% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้

ทิศทางกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่อง

คงประมาณการ คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโต 22.8% yoy จากแนวโน้มสินเชื่อสุทธิปี 2565 เติบโตต่อเนื่อง และแนวโน้มสัดส่วน Cost to income ปี 2565 ปรับลดลง จากการประหยัดต่อขนาด

ทั้วนี้ ในเบื้องต้นคาดกำไรสุทธิงวด 3Q65 จะยังดีต่อเนื่องจากงวด 2Q65 (และเติบโต YoY) จากแนวโน้มสินเชื่อและรายได้ค่านายหน้าประกันภัยเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าแนวโน้มการตั้งสำรองหนี้สูญฯ ที่จะเพิ่มขึ้นบ้าง จากภาวะเงินเฟ้อในงวด 3Q65

สำหรับความกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่า TIDLOR จะได้รับผลกระทบจำกัดในปี 2565 เพราะหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเกือบทั้งหมด เป็นหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ โดยคาดจะเริ่มเห็น Cost of funds ปรับเพิ่มขึ้นราว 0.2% ในงวด 4Q65 โดยฝ่ายวิจัยได้ทำ Sensitivity ว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 0.25% จะกระทบต่อแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2566 ของ TIDLOR ราว 1.1%

ทิศทางธุรกิจยังดี…แนะนำซื้อ

กําหนด FV ปี 2565 เท่ากับ 42 บาท อิง PBV 3.9 เท่า ตามวิธี Gordon Growth Model ที่ ROE เฉลี่ยระยะยาว 18% ราคาหุ้นปรับฐานไปกว่า 27% ในรอบ 4 เดือน สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและภาวะเงินเฟ้อไปมากแล้ว จึงยังแนะนำซื้อ รับการฟื้นตัวของธุรกิจปี 2565

ประเด็นความเสี่ยง

1. สินเชื่อสุทธิเติบโตต่ำกว่าคาด จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มรายได้และกำไรสุทธิของ TIDLOR

2. คุณภาพสินทรัพย์และแนวโน้มการเกิด NPL ใหม่ๆ

3. อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น

4. กฎหมายและข้อบังคับจากภาครัฐ

TIDLOR แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 28.00

ราคาเป้าหมาย (บาท) 42.00

Upside (%) 50.0

Dividend yield (%) 1.1

 

- Advertisement -