บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +33.3%

Close Jul 12, 2022 Price (THB) 54.00

12M Target (THB) 72.00

Previous Target (THB) 69.00

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 1,946 ล้านบาทฟื้นตัว QoQ จากผลประกอบการของธุรกิจ Fibrous Chain ที่มีแนวโน้มดี และการรับรู้รายได้จากโรงงาน UPPC ที่มีกำลังผลิตใหม่เข้ามาในช่วงปลาย 1Q65 แต่ลดลง YoY จากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น, ราคาขายในบางประเทศถูกกดดันจากการ Lockdown ในจีน, และค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้น
  • คาดกำไรปกติ 2H65 สามารถฟื้นตัวได้ HoH จากการฟื้นตัวของ Demand ในจีน, การ Ramp Up กำลังผลิตใหม่ เช่น Packaging Paper ในฟิลิปปินส์ และ Foodservice Packaging ในไทยและเวียดนาม

Our view

  • เรานำปัจจัยพื้นฐานด้าน ESG มารวมอยู่ในการประเมินราคาเหมาะสม โดยจากการประเมิน SCGP มีปัจจัยพื้นฐานด้าน ESG อยู่ในระดับ AAA จึงปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 72.00 บาท/หุ้น มี Upside 33.3% คงคำแนะนำ “ซื้อ”
  • SCGP ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่สอดคล้องกับธีม Anti-Commodity เพราะได้รับประโยชน์จากราคา Commodity ที่เริ่มปรับตัวลง (มีสัดส่วนต้นทุนพลังงาน 10%) และได้รับผลกระทบจำกัดจากการเข้าสู่ Recession เนื่องจากมีกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นลูกค้าหลัก

SCG PACKAGING เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของกำไรในช่วงที่เหลือของปี

คาดกำไรปกติ 2Q65 สามารถฟื้นตัว QoQ

คาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 1,946 ล้านบาท (+11% QoQ, -7% YoY) โดยกำไรปกติสามารถฟื้นตัวได้ QoQ แม้ราคาขาย Packaging Paper ในภูมิภาคเอเชียลดลง (ผลจาก Demand ที่หายไปของจีน) เป็นปัจจัยกดดันอัตรากำไรขั้นต้นในประเทศเวียดนาม (พึ่งพา Demand จากจีนสูง) เพราะ 1) บริษัทฯสามารถปรับราคาขายขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้นในกลุ่มประเทศอื่น เช่น ไทยและอินโดนีเซียได้ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร (IPC) สามารถทรงตัวได้ QoQ 2) ราคา Short Fiber ในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวขึ้นราว 21% QoQ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Fibrous Chain สูงขึ้น QoQ และ 3) การรับรู้รายได้จากกำลังผลิต Packaging Paper ใหม่ในโรงงาน UPPC ในฟิลิปปินส์ที่ COD ในช่วงปลาย 1Q65 (ปัจจุบันกำลังผลิตใหม่มี Utilization Rate อยู่ราว 30-50%) สามารถชดเชยผลกระทบจากปริมาณขายที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาลของไทยและอินโดนีเซียได้ (มีวันหยุดยาวใน 2Q65 ทำให้กลุ่มลูกค้าลดการผลิตลง QoQ)

ขณะที่คาดการลดลง YoY เป็นผลมาจาก 1) กำไรขั้นต้นที่ลดลงมาอยู่ในระดับ 17.4% จาก 20.6% ใน 2Q64 ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของภาคการผลิตจีนและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น YoY (ผลจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน) และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้น +35% YoY หลังบริษัทฯ มีการขยายกำลังผลิต และการทำ M&P ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา หากกำไรปกติ 2Q65 ออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปกติ 1H65 จะคิดเป็นสัดส่วน 40% ของประมาณการทั้งปี

Demand จากจีนหนุนการฟื้นตัวใน 2H65

เบื้องต้นคาดผลประกอบการ 2H65 ของ SCGP จะเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี แม้จะมีแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานที่อยู่สูงจาก 1) การฟื้นตัวของ Demand ในจีน ซึ่งจะทำให้ราคาขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Packaging Paper ในเวียดนามฟื้นตัว หนุนอัตรากำไรขั้นต้นรวมให้ขยายตัว HoH 2) การ Ramp Up กำลังผลิตใหม่ของ UPPC เพื่อให้ Utilization Rate ขึ้นไปอยู่ในระดับ 70-90% (ระดับปกติของสายการผลิต Packaging Paper) 3) การรับรู้รายได้จากการกำลังผลิต Molded Pulp ในไทยขนาด 223 ล้านชิ้น/ปี (COD แล้วในช่วงปลาย 2Q65) และกำลังผลิต Pressboard ในเวียดนาม (คาด COD ใน 3Q65) โดยทั้งสองสายการผลิตเป็นกลุ่มสินค้าที่มี Demand รออยู่แล้ว จึงคาดสามารถ Ramp Up ได้อย่างรวดเร็ว (ภายในเวลา 3-6 เดือน)

ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 72.00 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”

SCGP ถือเป็นบริษัทฯ ที่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับกระแส ESG โดยจากการประเมินของเราผ่านการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยด้าน ESG เช่น แผนในการลดการปล่อยคาร์บอน และการผลิตสินค้าที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCGP มีปัจจัยพื้นฐานด้าน ESG อยู่ในระดับ AAA ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่ม Premium ของ EV/EBITDA ขึ้น 4% ทำให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ของ SCGP เพิ่มขึ้นเป็น 72.00 บาท/หุ้น มี Upside 33.3% โดย SCGP ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่สอดคล้องกับธีม Anti-Commodity เนื่องจากมีต้นทุนพลังงานราว 10% ของต้นทุนรวม (มีนัยยะต่อผลประกอบการ เนื่องจากธุรกิจ Packaging เป็นกลุ่มธุรกิจที่เน้นการรักษาอัตรากำไรขั้นต้น และเพิ่มปริมาณขายในการเติบโตเป็นหลัก) และได้รับผลกระทบจากการเข้าสู่ภาวะ Recession อย่างจำกัด มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้าที่ผลิตสินค้าอุปโภค บริโภคราว 72% ของรายได้รวม) คงคำแนะนำ “ซื้อ”

- Advertisement -