บล.ฟิลลิป:
BCP:โรงกลั่นผ่านจุดสูงสุด แต่ธุรกิจอื่นยังโตต่อ
ซื้อ TP’66: 35.00
กำไรที่ประกาศมาคิดเป็น 69% ของประมาณการ แต่ทางฝ่ายยังคงประมาณการไว้ดังเดิม คาดกลุ่มโรงกลั่นชะลอตัว แต่ในส่วนอื่นๆ คาดจะดีขึ้น อีกทั้งคาดจะมีเงินปันผลระหว่างกาล
- 2Q65 กำไรโต 21% q-q : กำไร 2Q65 อยู่ที่ 5,276 ลบ. +21% q-q เนื่องจากได้ผลบวกจากโรงกลั่นและการตลาด 1) กลุ่มโรงกลั่นกำไรดีจาก GRM ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 24.42 $/bbl จาก 1Q65 อยู่ที่เพียง 6.84 $/bbl จากตลาดน้ำมันตึงตัว และราคาน้ำมันขึ้น ทำให้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 10.04$ แต่มี oil hedging -16.83$ ทำให้มี net stock -6.79 $/bbl 2) ธุรกิจการตลาด ค่าการตลาดรวมอยู่ที่ 0.94 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นจาก 0.59 บาท/ลิตร ใน 1Q65 เนื่องจากโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตฯ เปลี่ยนจากการใช้ LNG มาเป็นน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตามากขึ้น รวมถึงปรับราคาขายดีเซลค้าปลีก และ Inthanin มียอดขายหน้าร้าน และ online เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ 2Q65 มียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ 3) ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแม้รายได้อยู่ที่ 1,436 ลบ. +24% q-q เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 3 โครงการเริ่มดำเนินงาน แต่กำไรลดลงจากการขายเงินลงทุนของ SEGHPL ในช่วงปลาย 1Q65 4) ธุรกิจชีวภาพมีรายได้อยู่ที่ 3,413 ลบ. ลดลง 9% q-q เนื่องจากวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล (มันสำปะหลังและกากน้ำตาล) ราคาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บ.ลดปริมาณการขายลง และรายได้จากการขาย B100 ลดลงเพียง 1% q-q เนื่องจาก กบง.ประกาศปรับลดส่วนผสมจาก B7 เป็น B5 และ 5) ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติผลประกอบการอ่อนตัวลง เนื่องจากราคาขายก๊าซธรรมชาติในอังกฤษที่เป็นตลาดหลักของ OKEA ลดลงเหลือ 14.68 $/MMBTU จาก 31.73 $/MMBTU ใน 1Q65 ส่งผลให้ OKEA มีรายได้อยู่ที่ 4,557 ลบ. ลดลง 19% q-q







