บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Upgrade)
TP upside (downside) +18.8%
Close Aug 16, 2022 Price (THB) 10.10
12M Target (THB) 12.00
Previous Target (THB) 11.00
What’s new?
- ปรับประมาณการปี 2565-2566 ลงเป็น 438 ล้านบาท และ 568 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนผลกระทบจากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่สูงขึ้นมากใน 1H65
- เบื้องต้นคาดกำไรปกติผ่านจุดต่ำสุดของรอบไปแล้ว จาก 1) ราคาพลังงานและวัตถุดิบที่มี Upside จำกัด 2) ปริมาณขายบรรจุภัณฑ์ที่มีพื้นตัวหลัง COVID-19 คลี่คลาย และมีการเปิดรับนักท่องเที่ยว 3) ประสิทธิภาพในการผลิตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษและพลาสติกที่สูงขึ้น และ 4) รายได้จากการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง
Our view
- บริษัทฯวางแผนในการมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2593 โดยแบ่งแผนงานออกเป็น 3 ระยะคือ 1) ปี 2564-2568: เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้และอนุรักษ์พลังงาน 2) ปี 2569-2573: เริ่มใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต และ 3) ปี 2574-2593: เปลี่ยนเตาหลอมเป็นแบบ Hybrid และเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน
- ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้น 1H66 ที่ 12.00 บาท/หุ้น มี Upside +18.8% แม้ระยะสั้นมีโอกาสถูก กดดันจากประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่คาดได้รับผลกระทบจำกัด จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”
BG CONTAINER GLASS ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและเข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัว
ปรับประมาณการปี 2565-2566 ลงจากต้นทุนที่สูง
แม้บริษัทฯมีความพยายามในการลดต้นทุนการผลิตลงผ่านการปรับสัดส่วนการใช้งานวัตถุดิบเช่น การเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบเศษแก้ว (Cullet) ที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์จาก 60% เป็น 70% (ลดสัดส่วน Soda Ash ที่มีราคาแพง) และการล็อกราคาวัตถุดิบส่วนใหญ่ล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงการปรับราคาเป็นแบบ Cost Plus กับกลุ่มลูกค้าราว 80% แต่ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วใน 1H65 ได้ เราจึงปรับประมาณการปี 2565-2566 ลง 14% และ 3% เป็น 438 ล้านบาท (-10% YoY) และ 568 ล้านบาท (+30% YoY) ตามลำดับ
เข้าสู่รอบของการฟื้นตัวใน 2H65
เบื้องต้นคาดกำไรปกติของ BGC ได้ผ่านจุดต่ำสุดของรอบไปแล้วใน 2Q65 เนื่องจาก 1) แนวโน้มของราคา พลังงานและวัตถุดิบในช่วงที่เหลือของปีเริ่มมี Upside จำกัด (ผลจากความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย) เราจึงมองว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 2H65 จะสามารถฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับ 14% +/- (ในกรณีที่ไม่มี Geopolitical Risk ใหม่) 2) ปริมาณขายบรรจุภัณฑ์ทุกประเภทมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 3) ประสิทธิภาพในการผลิตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษและพลาสติกที่สูงขึ้น และ 4) สัดส่วนรายได้จากการส่งออกที่เติบโตต่อเนื่องของ BGC (การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ทำให้ได้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น)
มุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2593
เนื่องจากบริษัทฯมีความต้องการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูง ทำให้บริษัทฯ ต้องเริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับการลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินงาน โดย BGC ตั้งเป้าหมายการมุ่งส่ง Carbon Neutrality ภายในปี 2593 โดยแบ่งแผนการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะคือ 1) ปี 2564-2568: มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้และการอนุรักษ์พลังงาน 2) ปี 2569-2573: เริ่มเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดเช่น ก๊าซชีวภาพ, ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเริ่มใช้คาร์บอนเครดิตในการชดเชยการปล่อยคาร์บอนและ 3) ปี 2574-2593: เปลี่ยนเตาหลอมเป็นแบบ Hybrid (ใช้พลังงานไฟฟ้าบางส่วน) รวมถึงเริ่มติดตั้งเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนและใช้คาร์บอนเครดิตมากขึ้น
ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้น 1H66 ที่ 12.00 บาท
เราปรับไปใช้ PER ย้อนหลัง 5 ปี +0.5SD ในการประเมินมูลค่าหุ้นจากผลประกอบการที่อยู่ในช่วงของการ ฟื้นตัว รวมถึงปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้น 1H66 ทำให้ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 12.00 บาท/หุ้น (รวม Multiple Premium 2% จาก Yuanta ESG Rating ระดับ AA แล้ว) มี Upside +18.8% แม้ราคาหุ้นมีโอกาสถูกกดดันในระยะสั้น จากการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล แต่คาดได้รับผลกระทบราว 10 ล้านบาท +/- ซึ่งไม่มีนัยสำคัญต่อประมาณการ จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”







