บล.พาย:
RATCH: บมจ.ราช กรุ๊ป “ภาพการเติบโตแข็งแกร่งหลังเพิ่มทุน”
คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้น 15% เป็น 55.00 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดเงินสด (DCF) อิง 11xPE’23E หลังจากปรับเพิ่มมูลค่า DCF ขึ้น เพื่อสะท้อนถึงการขยายกำลังการผลิตใหม่ 1.5GW จากโครงการร่วมทุน Nexif RATCH (NEJV) คาดกำไรไตรมาส 3/22 ปรับดีขึ้น YoY และ QoQ หนุนจากช่วง high season สำหรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ รวมถึงการรับรู้กำไรจากกำลังการผลิต 205MWe ที่เพิ่มเข้ามาในครึ่งหลังปี 2021 ถึงครึ่งแรกปี 2022 ภาพรวมปี 2023 ค่อนข้างสดใส สืบเนื่องจากการรับรู้กำไรเต็มปีจากกำลังการผลิตใหม่ 2.5GWe (Paiton, NEJV) ด้วยเม็ดเงินจากการเพิ่มทุนที่แล้วเสร็จไปในไตรมาส 2/22 ที่ จะช่วยชดเชยผลการลดทอนกำไรต่อหุ้น (EPS dilution) ได้
ภาพรวมเป็นบวกในไตรมาส 3/22
- คาดกำไรแตะจุดสูงของปีในไตรมาส 3/22 หนุนจากการรับรู้กำไรเต็มไตรมาสจากโรงไฟฟ้า NER ขนาด 45MWe ในระยอง และการเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการส่วนต่อขยาย NNE ขนาด 30MWe
- คาดกำไรลดลง QoQ ในไตรมาส 4/22 จากช่วง low season สำหรับอุปสงค์ในประเทศและค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A) ที่สูงขึ้น แต่การเติบโต YoY จะได้แรงหนุนจากการเพิ่มกำลังการผลิต 190MWe เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/21-3/22
โครงการท่อส่งคือแรงหนุนสำคัญ
- มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อภาพรวมปี 2023 ด้วยแรงหนุนจากการใช้เงินที่ได้จากการเพิ่มทุน (แล้วเสร็จในไตรมาส 2/22) ไปกับการลงทุนในโครงการ NEJV (1,500MW คิดเป็น 450MW ในส่วนการดำเนินงาน) และโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton ขนาด 930MWe ในอินโดนีเซียที่จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมขึ้น 16% จากปัจจุบันที่ 9.2MWe และคาดว่าจะชดเชย EPS dilution ได้ทั้งหมด
- ภาพรวมระยะยาวดูดีเช่นกัน เพราะบริษัทมีโครงการในแผนงานอีก 2.4GW ที่จะ COD ในช่วงปี 2023-26 และช่วยขยายพอร์ตขึ้นเป็น 10.7GW ภายในปี 2026 หรือโตเฉลี่ยต่อปีที่ 8.3%
คงคำแนะนำ “ซื้อ” เพิ่มมูลค่าพื้นฐานเป็น 55.00 บาท
มูลค่าพื้นฐานคำนวณด้วยวิธี DCF (WACC 8.1%, TG 1%) อิง 11xPE’23E มีส่วนลด 10% ต่อค่าเฉลี่ยกลุ่มในไทย บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งแรกปี 2022 ที่ 0.8 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 1.8% ขึ้น XD วันที่ 9 ก.ย. 2022 ปัจจุบันหุ้นมีมูลค่าไม่แพงที่ 8.5xPE’23E หรือ -2SD ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี เมื่อความกังวลเรื่องเพิ่มทุนคลี่คลายลงบวกกับโครงการใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เชื่อว่ากำไรที่จะเป็นบวกตั้งแต่ปี 2023 จะช่วยหนุนทิศทางราคาหุ้นได้ จึงแนะนําทยอยสะสม
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2/22
- กำไรสุทธิไตรมาส 2/22 ปรับดีขึ้นเป็น 2.22 พันล้านบาท (4% YoY, 39% QoQ) การเติบโต YoY เป็นผลจากกำไรที่สูงขึ้นในโครงการ IPP และกำไรอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้น
- หากไม่รวมกำไรพิเศษครั้งเดียว กำไรปกติจะปรับดีขึ้น 79% QoQ เป็น 2.1 พันล้านบาท ขณะที่ทรงตัว YoY การเติบโต QoQ เป็นผลจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในโรงไฟฟ้า RAC ที่เพิ่มขึ้น 16ppt เป็น 58% พร้อมกับส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่ม IPP และโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่สูงขึ้น (ปัจจัยตามฤดูกาลที่ดีขึ้น)
- รายได้ไตรมาส 2/22 อยู่ที่ 1.63 หมื่นล้านบาท (88% YoY, -3% QoQ) การเติบโต YoY ได้แรงหนุนจากค่าพลังงานไฟฟ้าของโครงการ RG ที่ปรับดีขึ้นจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น (ก๊าซธรรมชาติ) ขณะที่ GPM ลดลงเหลือ 11% จาก 12.3% ใน 2Q21 เป็นผลจาก GPM ในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่ลดลงจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
- ส่วนแบ่งกำไรไตรมาส 2/22 เพิ่มเป็น 1.9 พันล้านบาท (20% YoY, 62% QoQ) การเติบโต YoY ได้แรงหนุนจากค่าความพร้อมจ่ายที่สูงขึ้น และกำไรอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับโครงการ IPPS และการ COD โครงการ Nexif Ratch Energy Rayong CCPP ใน 2Q22 ส่วนการเติบโต QoQ เป็นผลจากส่วนแบ่งกำไรที่ได้แรงกระตุ้นจากยอดขายโครงการ Hin Kong PCL (HPC) และ XE-Piean-Xe-Namnoy (PNPC) ที่ปรับสูงขึ้น
- กำไรปกติครึ่งแรกปี 2022 คิดเป็น 42% ของประมาณการทั้งปี จึงคงประมาณการเดิมต่อไป เพราะคาดว่าบริษัทจะทำได้ตามเป้าหมาย 58% ที่เหลือในครึ่งหลังปี 2022 ผ่านการดำเนินงานปกติที่ได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งเต็มอัตราจาก Nexif RATCH และการ COD โครงการอื่น
ลงทุน US$605 ล้าน เพื่อขยายพอร์ตพลังงานทดแทน
- บริษัทเพิ่มทุน 2.5 หมื่นล้านบาทและลงทุนราว 1.8 หมื่นล้านบาทใน 2 โครงการสำคัญ และใช้ 5 พันล้านบาทเพื่อชำระหนี้ บริษัทเซ็นสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อเข้าซื้อหุ้นในโครงการร่วมทุน Nexif Energy Joint venture ด้วยงบลงทุน 2.1 หมื่นล้านบาท กำลังการผลิตรวม 1.5GW แบ่งเป็น 450MW ที่เดินเครื่องแล้ว และอีก 1GW ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา คาดดีลนี้จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/22 การลงทุนรายการที่สองของบริษัทคือโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 355MW ในลาว (Xekong 4A และ 4B) คาด COD ในปี 2033
- โครงการ Nexif ถือครองสินทรัพย์ประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ โครงการ CCPP และระบบกักเก็บพลังงานในไทย ออสเตรเลีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ คาดว่าโครงการ Nexif-Ratch JV จะรับรู้กำไรทันทีหลังทำข้อตกลงซื้อขายหุ้นเสร็จ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาแผนงาน 24 โครงการ ด้วยกำลังการผลิตรวม 1,500MW ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังลม 12 โครงการ พลังแสงอาทิตย์ 3 โครงการ พลังก๊าซ 2 โครงการ และโครงการพัฒนาหน่วยกักเก็บพลังงาน 4 โครงการ
- คาดว่าการลงทุนทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มขนาดพอร์ตทั้งหมดของบริษัทขึ้น 25% และเชื่อว่าจะส่งผลให้รับรู้กำไรได้ดีขึ้น และส่งเสริมการเติบโตระยะยาวได้ ด้วยแรงหนุนจากการขยายธุรกิจสีเขียวของบริษัท
Revenue breakdown
ธุรกิจหลักของ RATCH คือการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงให้บริการบริหารจัดการและเป็นที่ปรึกษาให้กับโครงการต่างๆ บริษัทมีการดำเนินงานโดยตรงผ่านบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (RG) ด้วยกำลังการผลิตที่ 3,645 MW ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าอิสระราย (IPP) ใหญ่ที่สุดในไทย ทั้งยังถือหุ้น 100% ในบริษัท RATCH Australia Corporation (RAC) ที่ดำเนินงานโครงการด้วยแหล่งพลังงานประเภทต่างๆ ที่รวมถึงพลังลม พลังแสงอาทิตย์ และ พลังงานร่วม (cogeneration)
รายได้จากโครงการ RG และ RAC รวมกันคิดเป็น 84% ของรายได้รวมในปี 2021 หากแบ่งสัดส่วนรายได้ตามแหล่งพลังงานพบว่ามีรายได้ 80% มาจากโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิล (ก๊าซและถ่านหิน) ที่เหลืออีก 20% มาจากโครงการพลังงานทดแทน (พลังแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ)







