บล.พาย:
MEGA: บมจ. เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ “มูลค่าหุ้นน่าดึงดูดพร้อมภาพการเติบโตที่มั่นคง”
เราเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 30% จากจุดสูงสุดสะท้อนอุปสรรคการดำเนินธุรกิจในเมียนมาไปค่อนข้างมากแล้ว เราปรับเพิ่มคําแนะนําเป็น “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 54 บาท คาดกำไรปกติไตรมาส 3/22 ทรงตัว QoQ ที่ 545 ล้านบาท (+2%YoY) หนุนจากรายได้ยาตามใบสั่งแพทย์ที่ฟื้นตัวขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่สูงขึ้นจากส่วนผสมยอดขายที่ดีขึ้น
คาดกำไรไตรมาส 3/22 ออกมาแข็งแกร่งอีกไตรมาส
• รายได้ธุรกิจ Mega We Care (ธุรกิจแบรนด์สินค้า) คาดว่าจะอยู่ที่ 2 พันล้านบาท (+1%YoY, +3%QoQ) หนุนจากรายได้ยาตามใบสั่งแพทย์ที่ฟื้นตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของจำนวนคนไข้ในโรงพยาบาล คาดยอดขายกลุ่มโภชนเภสัช (วิตามินและอาหารเสริม) จะยังแข็งแกร่ง หนุนจากการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคและบำรุงสุขภาพมากขึ้น คาด GPM ของ Mega We Care จะทรงตัวในระดับสูง 66.9% หนุนจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นเพราะการประหยัดต่อขนาด (economies of scale)
• รายได้ธุรกิจ Maxxcare (ธุรกิจจัดจำหน่าย) คาดว่าจะลดลงเหลือ 1.75 พันล้านบาท (-7%YoY, -6%QoQ) เพราะแรงกดดันจากกำลังซื้อ ผู้บริโภคที่ลดลง หลังจากเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นและค่าเงินจัดของพม่าที่อ่อนค่าลง ซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายของบริษัท คาด GPM ของธุรกิจ Maxxcare จะลดลงเหลือ 16% จาก 17% ในไตรมาส 3/21 และ 16.3% ในไตรมาส 2/22 สืบเนื่องจากการกักตุนสินค้าในช่วงไตรมาส 3/21 และค่าเงินจิตที่อ่อนค่าลง
คาดภาพการเติบโตระยะยาวยังแข็งแกร่ง
- เชื่อว่าราคาหุ้นที่ลดลง 30% จากยอดสูงสุดสะท้อนคาดการณ์ว่าการเติบโตของกำาไรปี 2023 จะชะลอตัวลง รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับธุรกิจในเมียนมาไปมากแล้ว
- แต่เชื่อว่าพื้นฐานของบริษัทยังแข็งแกร่ง เพราะคาดว่ารายได้ของ MEGA จะโตต่อเนื่องตามอุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์ช่วง 5 ปีข้างหน้า การใช้ยาในกลุ่มตลาดเภสัชภัณฑ์เกิดใหม่คาดว่าจะโตเฉลี่ยปีละ 2% (2022-26) อิงข้อมูลจาก IQVIA (ผู้ให้บริการการพัฒนาเภสัชภัณฑ์ ชีวภาพและการจ้างบริหารงานพาณิชย์) ขณะที่ Statista ประเมินว่า ตลาดยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) จะโตต่อปี 4.31% (2022-25) เราจึงประเมินว่ารายได้ Mega We Care จะโตต่อปี 6.8% (2022-25)
- คาดกําไรของ MEGA จะแข็งแกร่งต่อเนื่อง หรือยืนเหนือระดับ 500 ล้านบาท/ไตรมาส ในปี 2023 หนุนจากไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แข็งแกร่ง การบุกตลาดใหม่ในอินโดนีเซีย อุปสงค์จากกลุ่มรักสุขภาพ และกลยุทธ์การขยายตลาดต่อเนื่องในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่มีการแข่งขันต่ำเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว
แนะนำ “ซื้อ”
เพิ่มคำแนะนำจากถือเป็น “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายที่ 54 บาท อิง 22XPE’23E คิดลด 25% ต่อค่าเฉลี่ยกลุ่มการแพทย์ไทย และค่าเฉลี่ย 3 ปีของบริษัท
Revenue breakdown
การดำเนินงานของบริษัทสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้
1) ธุรกิจของ MEGA สามารถแบ่งเป็น 3 ประเภทดังนี้ 1) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ Mega We Care (49% ของยอดขายทั้งหมด) ดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ด้วยสถานะผู้นำในตลาดอินโดจีน
2) Maxxcare (49%) ธุรกิจจัดจำหน่ายที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ในเมียนมา เวียดนาม และกัมพูชา
3) ธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) (2%) ด้วยสถานะ OEM ด้านแคปซูลนิ่มรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หากแบ่งธุรกิจ Mega We Care ออกเป็นตามพื้นที่จะได้ภาพดังนี้ 1) สัดส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ 77% ของยอดขายทั้งหมด และ 2) แอฟริกาที่ 12%
ขณะที่ธุรกิจ Maxxcare จะเน้นตลาดเมียนมา เวียดนาม และกัมพูชาเป็นหลัก