บล.บัวหลวง:
EV – กำไรดีงามในไตรมาส 3/65 และ NEX จะเป็นผู้นำการเติบโตในไตรมาส 4/65 (OVERWEIGHT)
บริษัทในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้ารายงานผลการดำเนินงานที่ดีในไตรมาส 3/65 หนุนมาจากการเติบโตของยอดผลิตยานยนต์และธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งในไตรมาส 4/65 อาจจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ แต่ NEX (เป็นบริษัทที่เราชอบที่สุด) จะยังคงเติบโตอย่างมาก เนื่องจากธุรกิจโรงงานรถบัส EV จะเปิดเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก
ผลการดำเนินงานที่ดีเยี่ยมในไตรมาส 3/65
4 หุ้นกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่เราให้คำแนะนำรายงานกำไรหลักรวม 921 ล้านบาท เติบโต 95% YoY และ 48% QoQ โดย NEX รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 ที่ 8 ล้านบาท พลิกกลับจากขาดทุน 20 ล้านบาทในไตรมาส 3/64 และ 59 ล้านบาทในไตรมาส 2/65 เนื่องจากบริษัทได้ส่งมอบรถบัสไฟฟ้าล็อตแรก กําไรหลักของ AH อยู่ที่ 426 ล้านบาท เติบโต 236% YoY และ 52% QoQ หนุนมาจากคําสั่งซื้อจำนวนมากของกลุ่มลูกค้าหลัก รถรุ่นใหม่ โชว์รูมใหม่ และมาตรการยกเว้นภาษีของประเทศมาเลเซีย
กําไรหลักของ FORTH อยู่ที่ 235 ล้านบาท เติบโต 56% YoY และ 23% QoQ หนุนมาจากรายได้ธุรกิจ EMS (ค่าสั่งซื้อเลื่อนมาจากครึ่งแรกของปี 2565) และธุรกิจ Smart Services (เต่าบิน) กำไรหลักของ SAT อยู่ที่ 252 ล้านบาท เติบโต 18% YoY และ 21% QoQ รายได้เติบโตหนุนมาจากการฟื้นตัวเป็นวงกว้างของอุตสาหกรรมยานยนต์ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมรถแทคเตอร์ยังไม่ดีเท่าไหร่ ดังนั้นการเติบโตของ SAT จึงยังตามหลังการเติบโตของ AH
NEX จะเป็นผู้นําการเติบโตในไตรมาส 4/65
NEX จะเป็นผู้นำในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าในไตรมาส 4/65 โดยคาดกําไรหลักที่ 455 ล้านบาท พลิกกลับเป็นกำไร YoY และเติบโตอย่างมาก QoQ เนื่องจากโรงงานรถบัส EV จะดำเนินธุรกิจอย่างเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก เราคาดกําไรหลักของ AH ในไตรมาส 4/65 ที่ 312 ล้านบาท เติบโต 109% YoY แต่ลดลง 27% QoQ เนื่องจากไตรมาส 4 ปกติแล้วจะเป็นช่วงโลซ์ซีซั่นของยอดขาย OEM ในโปรตุเกส สําหรับ SAT เราคาดกําไรหลักไตรมาส 4/65 ที่ 236 ล้านบาท เติบโต 23% YoY แต่ลดลง 6% QoQ ราคาเหล็กทรงตัว ดังนั้นแรงกดดันด้านต้นทุนน่าจะเบาบางลง หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวขึ้น YoY
สําหรับ FORTH เราคาดกําไรหลักที่ 173 ล้านบาทในไตรมาส 4/65 ลดลง 7% YoY และ 26% QoQ โดยการหดตัว YoY เป็นผลมาจากฐานที่สูงในไตรมาส 4/64 (รายได้จากธุรกิจ Enterprise Solutions) ขณะที่การหดตัว QoQ เป็นผลมาจากที่เราคาดรายได้ EMS ที่พุ่งขึ้นสูงในไตรมาส 3/65 จะไม่ได้อยู่สูงระดับนี้ ต่อมาในไตรมาส 4/65 และแนวโน้มรายได้จาก Enterprise Solutions ที่น่าจะอ่อนตัวลง
เต่าบินยังบินต่อ
เราปรับลดประมาณการทําไรหลักปี 2565 ของ FORTH ลงจาก 872 ล้านบาท มาเหลือ 788 ล้านบาท (เติบโต 9% YoY) เนื่องจาก 1) การแก้ไขบัญชีที่เชื่อมโยงกับ TERS15 จัดประเภทการสะสมกระดองเต่าแลกส่วนลดของเต่าบินเป็นต้นทุน 2) ปรับลดประมาณการจำนวนตู้เต่าบินสิ้นปี 2565 จาก 6,234 ตู้มาเหลือ 6,013 ตู้ และ 3) ประมาณการราคาขายเฉลี่ย/แก้ว ของเราลดลง เนื่องจากเมนูใหม่ที่ราคาถูกกว่า เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง แต่แม้หลังการปรับลดประมาณการกำไรแล้ว การเติบโตของรายได้เต่าบินในไตรมาส 4/65 ยังคงสูงอยู่ที่ 37% QoQ ทั้งนี้ราคาเป้าหมายของเรา ณ สิ้นปี 2566 จึงปรับลดลงจาก 72 บาทมาเหลือ 58 บาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น ที่ 1.30 บาท และอิงจาก PER ของกลุ่มเทคโนโลยีที่ 45 เท่า) เราคาดกำไรหลักปี 2566 จะเติบโต 58% หนุนมาจากยอดขายของเต่าบิน นอกจากนี้ FSMART เพิ่งเปิดตัวที่ชาร์จกิ้งก่า EV (ไม่ต้องโหลดแอพ ซึ่งน่าจะดึงดูดผู้ใช้งานจํานวนมาก)







