บล.พาย:
TU บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป – 1Q23 กำไรสุทธิเหลือ 1,022 ลบ.
TU รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q23 ที่ 1,022 ลบ. (-42%YoY, -18%QoQ) ได้รับแรงกดดันจากการที่ลูกค้ามีสต็อกสินค้าอยู่ในระดับสูง รวมถึงการปรับขึ้นของราคาปลาทูน่า ทำให้ลูกค้าบางส่วนชะลอคำสั่งซื้อออกไป กดดันให้รายได้ลดลงกว่า 10%YoY, 18%QoQ แต่ปัจจัยบวกก็คือ ผลประกอบการของ Red Lobster ที่มีกำไรสุทธิแล้ว ทั้งนี้เราคาดว่าสถานการณ์ในช่วง 2Q23 จะปรับตัวดีขึ้นจาก 1Q23 ได้ หลังจากเริ่มเข้าสู่ช่วง High Seasons ของการส่งออกแล้ว นอกจากนี้ จากการที่ TU เป็นผู้ประกอบการทูน่าที่เป็นสินค้าที่มีผลกระทบ หากเกิดปัญหาเศรษฐกิจ ขึ้นที่ยุโรปและสหรัฐ ดังนั้นเราจึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม
คาดกำไร 1Q23 อยู่ที่ 99 ลบ.
- TU รายงานกำไรสุทธิงวด 1023 ที่ 1,022 ลบ. (-42%YoY, -18%QoQ) ถ้าไม่รวมกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 215 ลบ. กำไรปกตจะลดลง 53%YoY, 55%QoQ เกิดจากกำไรขั้นต้นที่ลดลงมาก
- รายได้อยู่ที่ 32,652 ลบ. (-10%YoY, -17%QoQ) ลดลงทุกธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง (-22%YoY, -37%QoQ) หลังจากลูกค้ายังมีสต๊อกเหลือค่อนข้างมาก รวมถึงธุรกิจอาหารแช่แข็ง (-15%YoY, -19%QoQ) ส่วนอาหารแปรรูปแช่แข็งใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ลดลง 11%QoQ เพราะราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวขึ้นแรง ลูกค้าชะลอคำสั่งชื้อเพื่อดูสถานการณ์ด้านราคาเสียก่อน รวมถึงบางส่วนลดการซื้อหลังมีการปรับราคาขึ้น
- กําไรขั้นต้นเหลือ 15% จาก 17.5% ใน 1Q22 และ 17.3% ใน 4Q22 เพราะรายได้ที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 4,121 ลบ. (-12%YoY, -8%QoQ) ได้รับผลดีจากค่าขนส่งที่ลดลง
- ส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุนอยู่ที่ 231 ลบ. พลิกจากที่ขาดทุน 177 ลบ. ใน 1Q22 และ 313 ลบ. ใน 4Q22 โดยเกิดจาก Red Lobster มี ส่วนแบ่งค่าใรที่ 121 ลบ. (ถ้ารวมผลทางบัญชีที่มีค่าใช้จ่าย 101 ลบ. จะมีผลกำไรประมาณ 20 ลบ. ดีกว่าที่เราคาดไว้ 4 ลบ.) นอกจากนี้ บริษัทร่วมอินบีผลประกอบการที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
- ดอกเบี้ยจ่าย 532 ลบ. (+20%YoY, -7%QoQ) และภาษียังรับรู้เป็นรายได้ภาษีเข้ามา 242 ลบ. (+29% YoY, +42%QoQ)
ปลาแพงถึง 3Q23 แต่แนวโน้มคำสั่งชื้อเริ่มกลับมา
- สถานการณ์ด้านราคาปลาทูน่าที่ยืนในระดับสูง ทางผู้บริหารคาดว่าเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ทำให้การจับยากขึ้น และประเมินว่าราคาจะยังยืนสูง 2-3Q23 ต่อ อย่างไรก็ตาม ในแง่คำสั่งชื้อจากลูกค้าเริ่มกลับเข้ามาแล้ว ทำให้ยอดขายในช่วง 2Q23 จะเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1Q23 ได้
คงประมาณการเดิมก่อน แม้เริ่มปีจะไม่ดีนัก
- แม้กำไรปกติในช่วง 1Q23 จะคิดเป็นเพียง 12% ของกำไรทั้งปีที่เราประเมินใว้ที่ 6,493 ลบ. แต่ด้วยแนวโน้มที่คาดว่าจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 2Q23 รวมถึงการฟื้นตัวของ RL ที่คาดว่าจะมีผลขาดทุนลดลงจากปีก่อนกว่า 50% เราจึงคงประมาณการเติมไปก่อน
- เรายังแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม เพราะมองว่าเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบไม่มากนักหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจ ขึ้นที่สหรัฐฯ และยุโรป
ต้นทุนเพิ่มทำให้ TU เน้นเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
- ผลจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มทูน่าและกุ้ง ทำให้ TU หันมาเน้นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่นการก่อสร้างโรงงานสำหรับผลิตสินค้าในกลุ่มพร้อมทาน โรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลาเจนเปปไทน์ ที่จะเสร็จในช่วง 2Q-3Q23 นี้
- ส่วนโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่มอาหารเปียกและขนมสัตว์เลี้ยง ยังคงเป็นไปตามแผนเดิมที่จะเริ่มเปิดดำเนินการใน 2Q-3Q23 ซึ่งจะเพิ่มกําลังการผลิตได้อีกประมาณ 19%
ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ทำให้เริ่มกลับมาดูการซื้อกิจการเพิ่ม
- หลังจาก TU นำหุ้น ITC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และทำให้มีการชำระคืนเงินกู้ไปค่อนข้างมาก ทำให้ ณ สิ้น 1Q23 ระดับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Debt to Equity) มีเพียง 0.57 เท่า ต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ที่ 1.0 -1.1 เท่า ค่อนข้างมาก ผู้บริหารจึงเริ่มมองหาการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม โดยยังคงเน้นไปที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมเป็นหลัก และเป็นธุรกิจที่จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้มากขึ้นในอนาคตด้วย ทั้งนี้ยังไม่มีกรอบเวลาในการเข้าซื้อแต่อย่างใด
Revenue breakdown
โครงสร้างรายได้ของ TU แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มคือ 1.อาหารทะเลแปรรูปเช่นปลาทูน่ากระป๋อง (Ambient Seafoods) และ 2.อาหารทะเลแช่แข็งเช่นกุ้งแช่แข็ง (Frozen Seafoods) 3. อาหารสัตว์เลี้ยง (PetCare) และ 4. ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า และอื่นๆ (Value added and other products) ขณะที่แหล่งที่มารายได้มาจากต่างประเทศเป็นหลักกว่า 89% โดยส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ ตามมาด้วยยุโรป และญี่ปุ่น