KS Daily View 07.11.2023 >>> รอผลประมูลพันธบัตรสหรัฐฯ ติดตามถ้อยแถลงประธานเฟด คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,400-1,425 จุด หุ้นแนะนำ TIDLOR, GPSC

สรุปภาวะตลาดเมื่อวันก่อน

ต่างประเทศ: ดัชนีDJIA +0.10%, S&P 500 +0.18%, NASDAQ +0.30%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ IT (+0.82%) และ Healthcare (+0.66%) ส่วน Sector ที่ Underperform ได้แก่Real Estate (-1.41%), Energy (-1.19%), Materials (-0.51%) เป็นต้น

ในประเทศ: SET Index -2.55 จุด หรือ -0.18%ปิดที่ 1,417.21 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ KCE (+4.09%), VGI (+3.70%), CBG (+3.11%), WHA (+3.00%)เป็นต้น ส่วนที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ SNNP (-4.14%), BAM (-3.89%), PLANB (-3.61%), COM7 (-3.60%) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,400 – 1,425 จุด ในวันนี้ รอดูทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี จากการประมูลพันธบัตรสหรัฐฯ และถ้อยแถงของประธานเฟด และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดว่าจะส่งสัญญาณหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% หรือไม่ นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้าจะมีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งจากคาดการณ์เบื้องต้นของตลาด อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. มีโอกาสชะลอตัวเหลือ 0.1% MoM ในเดือน ก.ย. จากระดับ +0.4% MoM ในเดือน ก.ย. โดยจากสถิติพบว่าดัชนี S&P500 จะปรับตัวขึ้นต่อหลังเฟดจบรอบการขึ้นดอกเบี้ย หลังจากนั้นจะปรับตัวลงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวจนกระทั่งเข้าสู่ภาวะหดตัว (Recession) โดยจากสถิตินับแต่ปี 1950 พบว่า 12 ใน 15 ครั้ง หรือมีโอกาส 80% ที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะจบด้วยการเกิด Recession

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.) ติดตามการประมูลพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 3ปี, 10ปี และ 30ปีมูลค่า US$112bn รวมถึงถ้อยแถลงของ Fed Chair Powell, New York Fed cheif John Williams และ Dallas Fed President Lorie Logan ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตร รวมถึงการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

2.) กระทรวงพาณิชย์ อธิบายว่าตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน ต.ค.2566 ที่ติดลบ 0.31% ติดลบครั้งแรกในรอบ 25 เดือน มาจากมาตรการลดค่าครองชีพรัฐบาล ขณะที่มองแนวโน้มเดือน พ.ย.ลดลงต่อเนื่อง หลังราคาสินค้ายังปรับลงอีก พร้อมคาดทั้งปีนี้เงินเฟ้อทรงตัว 1.35% และประเทศไทยไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืด

3.) นายกฯ สั่งเร่งคณะทำงานศึกษาปรับขึ้นเงินเดือนขรก.-ค่าแรงขั้นต่ำ ต้องรายงานความเป็นไปได้สิ้นเดือน พ.ย.นี้ ขอฟัง รมว.แรงงานอีกครั้งหลังระบุอาจไม่ได้ 400 บาททุกพื้นที่ ทั้งนี้จากการศึกษาของทาง KS พบว่า ค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น 10% จากระดับปัจจุบันที่ 350 บาทต่อวัน คาดจะฉุดกำไรสุทธิของตลาดปี 2567 ที่ 1% และเพิ่มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปขึ้น 30 bps โดยกลุ่มที่จะได้รับผลลบจากการขึ้นค่าแรงมากสุด ได้แก่ ถุงมือยาง รับเหมา เกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ร้านอาหาร สื่อ ค้าปลีก และอิเล็กฯ เป็นต้น

4.) สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า “เฟทโก้”เตรียมเข้าพบ รมว.คลังสัปดาห์หน้า หารือ”ตั้งกองทุนออมหุ้น ระยะยาว” นายกสมาคมโบรกฯ ชี้ หนุนคนไทย ออมเงิน -ช่วยรัฐลดค่าใช้จ่ายดูแลสูงวัย

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,400 – 1,440 จุด ในสัปดาห์นี้ หนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลดลงบนโอกาสที่เฟดจะกลับลำลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นเป็นกลางปี 2024 ที่ 100bps จากเดิมที่ 75bps. ขณะที่ราคาน้ำดิบลดลงสะท้อนตลาดคลายกังวลสงครามอิสราเอล-ฮามาส โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่

1.) ถ้อยแถลงของประธานเฟด และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด

2.) ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และค่าเงิน USD ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อนทิศทาง Fund flow

3.) สถานการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส

4.) รายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องวงเงินดิจิตอลวอลเล็ตในวันที่ 10 พ.ย.

5.) ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ต.ค. ของจีน อาทิ ตัวเลขการส่งออก ดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้ผลิต เป็นต้น

หุ้นแนะนำวันนี้

Top pick:

TIDLOR (ราคาพื้นฐาน 31.40 บาท) รายงานกำไรไตรมาส 3/2566 สูงสุดใหม่ที่ 1.0 พันลบ. (+9% QoQ, +12% YoY) สูงกว่าที่เราคาดไว้ 7% เนื่องจากรายได้แข็งแกร่งเกินคาด NII และ non-NII ที่แข็งแกร่งจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ช่วยหนุน PPOP และการเติบโตของกำไร QoQ และ YoY ในไตรมาส 3/66 NPL ratio คงที่ที่ 1.5% และดีกว่าที่เราคาดไว้ 10bps คาดกำไรไตรมาส 4/66 อ่อนตัว QoQ แต่เติบโต YoY มอง Bond yield ที่ปรับลดลง, การกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ, รายได้ภาคเกษตรที่ดี และความเสี่ยง El Nino ที่รุนแรงน้อยกว่าคาดในปีหน้าจะหนุนให้ผลประกอบการดีขึ้นต่อเนื่อง

GPSC (ราคาพื้นฐาน 53.00 บาท) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/2566ที่ 1.79 พันลบ. สูงกว่าที่เราคาดไว้ 9% ที่ 1.64 พันลบ. กำไรที่สูงกว่าคาดมีสาเหตุหลักมาจาก 1) อัตรากำไรจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยสูงกว่าคาด โดยราคาขายเฉลี่ยจริงอยู่ที่ 3.71 บาท/kWh เทียบกับที่เราประมาณการไว้ที่ 3.50 บาท/kWh 2) ปริมาณการขายไฟฟ้าที่สูงขึ้น แม้แนวโน้มกำไรจะอ่อนแอลงในไตรมาส 4/66จากอัตรากำไรที่ลดลงจากอัตราค่าไฟฟ้าที่ต่ำแต่สะท้อนในราคาหุ้นไปแล้ว ขณะที่ Bond yield ที่ปรับลดลง จะหนุนมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันอังคาร ติดตาม ตัวเลขส่งของจีนสำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ -5.0% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -6.2% YoY ต่อด้วยผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ตลาดคาดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps. เป็น 4.35%
  • วันพุธ ติดตาม ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) Andrew Bailey มีกำหนดให้สัมภาษณ์ในช่วงบ่าย และตัวเลขยอดค้าปลีกของยุโรป (Retail sales) สำหรับเดือน ก.ย. ตลาดคาดที่ -3.1%YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -2.2% YoY
  • วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของจีน (Consumer Price Index) สำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดที่0.2% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.0% YoY และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯสำหรับสัปดาห์ก่อนหน้า ตลาดคาดที่ 2.20 แสนคน เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.17 แสนคน ปิดท้ายด้วยติดตามประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) Powell มีกำหนดให้สัมภาษณ์ในช่วงข้ามคืนในที่ประชุม IMF สำนักงาน Washington DC.
  • วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลขยอดสินเชื่อใหม่ของทางจีน (New Yuan loans) สำหรับเดือน ต.ค. ตลาดคาดที่ 1.5 ล้านล้านหยวน เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.31 ล้านล้านหยวน ต่อด้วยตัวเลข GDP ของอังกฤษสำหรับไตรมาสที่ 3 ตลาดคาดที่0.9% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.5% และปิดท้ายด้วยตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (UOB consumer sentiment) เดือน พ.ย. ตลาดคาดที่ 65.0 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 63.8
- Advertisement -