SMD100 ประกาศปี 67 กำไร 41.67 ล้านบาท ถือเป็นจุดเริ่มต้นภายใต้โครงสร้างใหม่ กำไรที่ลดลง ไม่ใช่สัญญาณการถดถอยของธุรกิจ และบริษัทในเครืออยู่ระหว่างการลงทุน ทำให้งบการเงินรวมยังไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริง D/E Ratio ที่ 0.70 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรม มี Backlog 579.06 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในอนาคต รวมทั้งมีแผน Spin-off “เอสเอ็มดี สัปปายะ” ที่เน้น Longevity & Wellness เพื่อเพิ่ม Fund Flow และดึงมูลค่าแฝงของธุรกิจออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพ

“ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสเอ็มดี ไรส์ หรือ SMD100 เผยภาพรวม มีกำไรสุทธิปี 67 จำนวน 41.67 ล้านบาท ลดลง 37.57 ล้านบาท หรือ 47.41% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนไตรมาส 4 ปี 67 มีกำไรสุทธิ 17.77 ล้านบาท ลดลง 12.59 ล้านบาท หรือ 41.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผล 0.75 บาท แต่จ่ายระหว่างกาลไปแล้ว 0.50 บาท จะจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลืออีก 0.25 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 21 เมษายน 68 ขึ้น XD 13 มี.ค. 2568

“การลดลงของกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการลงทุนเพื่อการเติบโตระยะยาว ถือเป็นการลดลงของกำไรเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่สัญญาณการถดถอยของธุรกิจ บริษัทในเครืออยู่ระหว่างการลงทุน ทำให้งบการเงินรวมยังไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริง”

อย่างไรก็ตาม ฐานะการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ที่ 0.70 เท่า ณ สิ้นปี 2567 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม มีเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสด 242.66 ล้านบาท และ Backlog มูลค่า 579.06 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในอนาคต

ล่าสุด ปรับโครงสร้างองค์กรและกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ เป็น 5 หน่วยงานหลัก

    • SMD Genesis Co.,Ltd.
    • SMD Sappaya Co.,Ltd.
    • SMDi Co.,Ltd.
    • SMD Connex Co.,Ltd.
    • SMD rise Global Business Unit

พร้อมเปลี่ยนชื่อจาก “เซนต์เมด” เป็น “เอสเอ็มดี ไรส์” เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์การเปลี่ยนผ่านจากผู้จัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์สู่ผู้ให้บริการระบบนิเวศด้านสุขภาพครบวงจร (Healthcare Ecosystem Provider) รวมทั้ง คณะกรรมการมีมติอนุมัติการจัดตั้ง SMD Connex Co., Ltd. เพื่อดำเนินธุรกิจ Medical IT ในรูปแบบ Device as a Service (DaaS) และ Software as a Service (SaaS) ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) รวมทั้งมีแผน Spin-off “บริษัท เอสเอ็มดี สัปปายะ จำกัด” มุ่งเน้นธุรกิจ Longevity & Wellness เพื่อเพิ่ม Fund Flow และดึงมูลค่าแฝงของธุรกิจออกมา

นอกจากนี้ ยังปรับกลยุทธ์ “10S” รองรับ Megatrend ด้านสุขภาพ ครอบคลุมความต้องการด้านสุขภาพแบบองค์รวม

    • Sleep
    • Sex
    • Stress
    • Syndrome (Metabolic & Office)
    • Slim
    • Skin
    • Soul & Spirit
    • Super Smart Exercise
    • Super Sappaya

กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับเทรนด์ Longevity & Wellness ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 9.9% ต่อปีจนถึงปี 2570 สอดรับกับ Backlog ที่แข็งแกร่ง มูลค่า 579.06 ล้านบาท และการเติบโตในอนาคต โดยแบ่งเป็น เวชศาสตร์การนอนหลับ (58%) เวชบำบัดวิกฤต (13%) และรังสีวิทยา (13%)

“ธุรกิจอยู่ในแนวโน้ม Megatrend และพร้อมขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีโอกาสเติบโตจากนโยบายภาครัฐ โดยบริษัทได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติประกันสังคมที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ครอบคลุมการรักษาผู้ป่วยโรคหยุดหายใจขณะหลับด้วยเครื่อง CPAP นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้อนุมัติการเบิกค่าตรวจการนอนหลับและเครื่องช่วยหายใจซีแพพ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของธุรกิจนี้ เพราะตลาดมีศักยภาพสูง จากจำนวนผู้ประกันตนกว่า 11 ล้านคน และผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอีก 47 ล้านคน”

ในด้านความโดดเด่น ถือว่าได้ด้านมาตรฐานระดับสากล บริษัทมีศูนย์ตรวจการนอนหลับที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล ทั้ง ศูนย์ตรวจการนอนหลับ เอสเอ็มดีเอกซ์คิน-ออริจิ้น ได้รับการรับรอง AACI เป็นแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก ศูนย์ตรวจการนอนหลับขนาด 11 เตียงในศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ อยู่ระหว่างเตรียมรับรองมาตรฐาน และศูนย์ตรวจการนอนหลับศิริราชกาญจนาภิเษก ได้รับการรับรอง AACI ซึ่งบริษัทมีแผนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP กับโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลจังหวัดขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมทั้ง บริษัทยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะผ่าน SMDi Co., Ltd. ที่พัฒนาเทคโนโลยีรักษามะเร็ง Proton Therapy ร่วมกับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ จะช่วยกำหนดตำแหน่งการฉายรังสีแม่นยำสูง ลดผลข้างเคียง เหมาะสำหรับมะเร็งในจุดสำคัญและผู้ป่วยเด็ก

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนาม MOU และเตรียมลงนาม MOA โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี และมีรายได้ประมาณ 12,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 20 ปี ซึ่งบริษัทมีแผน Spin-off ธุรกิจนี้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้น

ส่วนแนวทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต จะมุ่งสู่โมเดลรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) ผ่าน

    • Revenue Sharing
    • DaaS (Device as a Service)
    • Subscription Services
    • Clinical Information Systems

การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยสร้างกระแสเงินสดมั่นคง ลดความผันผวนของรายได้ และขยายฐานลูกค้าระยะยาว รวมทั้ง เร่งกระจายฐานลูกค้าสู่ภาคเอกชน เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากภาครัฐที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 66.92% โดยมุ่งเน้นธุรกิจ Longevity & Wellness และ Digital Health พร้อมกับยืนยันว่า “SMD rise” มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรตามวิสัยทัศน์ “Leading Healthcare with Cutting-Edge Innovation” เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น

 

- Advertisement -