Daily Focus: Risk-Off อีกครั้ง และยังคงไม่ผ่านเส้น EMA10

2025 SET Target: 1390

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index พลิกมาปรับตัวลงแรงผิดคาด โดยเฉพาะในช่วงบ่ายที่มีแรงขายออกมาหนาแน่น กดดัชนีให้ซึมลงต่อเนื่อง ปิดลบถึง 17.41 จุด ที่ระดับ 1,189.55 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.7 หมื่นลบ. โดยภาพรวมดัชนิยังคงไม่ผ่านเส่น EMA 10 วัน ทำให้ไม่สามารถพลิกภาพระยะสั้นให้เป็นบวก สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1.4 พันลบ. แต่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาขายสุทธิรุนแรงถึง 4.7 พันลบ. (และพลิกมา Short Index Futures สุทธิสูงถึง 2.8 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัวในแดนลบ กดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่ Risk-Off อีกครั้งจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีการค้าของทรัมป์ ซึ่งแม้จะมีการผ่อนคลายการเก็บภาษีสินค้าเพิ่มเติมบางรายการชั่วคราวของแคนาดาและเม็กซิโกภายใต้ USMCA แต่ตลาดไม่ได้ตอบรับเชิงบวกเหมือนวันก่อนหน้า โดยจับตาแนวรับ Low เดิมบริเวณ 1,273+- จุด หลังจากล่าสุดทางเทคนิคยังไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้านเส้น EMA 10 วันได้สำเร็จ ภาพรวมกระแสเงินทุนยังไหลเข้าหาฝั่งยุโรปและเงินยูโรที่ปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ปัจจัยที่ต้องติดตามคืนนี้คือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.พ. (ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.0 แสนตำแหน่ง) ส่วนอัตราว่างงานคาดทรงตัวที่ 4% ด้านปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ. (ตลาดคาด Headline +1.1% y-y Core +0.89% y-y) ภาพรวมตลาดยังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน ขณะที่ EPS SET ปี 2025 ยังเห็นการทยอยปรับลงเล็กน้อย เรายังมองกลุ่ม Domestic และ Tourism-Related Play จะยังคงได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในประเทศและปรับตัวได้ดีกว่า Global-Related Play คาดยังผวนตามปัจจัยต่างประเทศทียังไม่แน่นอน ระยะกลาง-ยาว เรายังมองการปรับฐานแรงของ SET Index ยังเป็นโอกาสในการการทยอยเข้าลงทุน จาก Valuation ที่ไม่แพง โดยปัจจุบันเทรด PER ราว 12.6 เท่าและ Earnings Yield Gap 5.7% ถูกสุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด

กลยุทธ์ : ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้ม 2025 แข็งแกร่งและ Valuation ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยยะ

หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : BA, BTG, CPALL, MTC, PR9

FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR

หุ้นเด่น Finansia 7 มี.ค. 25 : SHR

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.80 บาท
  • เราเชื่อว่ากำไรปกดิ 1Q25 มีแนวโน้มสูงที่จะทำ New High จากดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคาที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจโรงแรมยังแข็งแกร่งโดย RevPAR เดือน ม.ค. เติบโตแข็งแกร่งทั้งไทย (+25% y-y) มัลดีฟส์ (+2% y-y) และ Outrigger (+8% y-y)
  • นอกจากนี้ยังมีมีประเด็นบวกทางการบันทึกบัญชี จากกรณี SO/Maldives ที่ SHR ลงทุน JV ไปทั้งหมด US$12 ล้าน และบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจน Equity เป็นศูนย์แล้ว จึงไม่ต้องมีการบันทึกขาดทุนอีกแล้ว ทำให้คาดตลาดต้องปรับกำไรเพิ่มราว 26-40% จากประมาณการปัจจุบันที่ยังใส่ส่วนแบ่งขาดทุนราว 100-150 ลบ.ในปี 2025 เป็นไม่ต้องบันทึกขาดทุน
  • แนวรับ 2.10//2.04 บาท แนวต้าน 2.20//2.30 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลออกจากภูมิภาคสุทธิอีก US$945 ล้าน ยังคงสูงสุดที่ไต้หวัน US$774 ล้าน รองลงมาคือไทย US$141 ล้าน สูงสุดในฝั่งอาเซียน ขณะที่ประเทศที่ไหลเข้าบางๆ ได้แก่ ฟิลิปปินส์และเวียดนาม แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออก หลังตลาดเทขายสินทรัพย์เสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายเก็บภาษีสินค้านำเข้าในระยะถัดไปว่าจะรุนแรงมากน้อยเพียงใด

(+) หุ้น IPO ใหม่ LTMH เป็นบริษัทสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำของไทย เติบโตจากเพจลงทุนแมน ปัจจุบันมี 6 แบรนด์ ได้แก่ ลงทุนแมน ลงทุนเกิร์ล MarketThink BrandCase MONEY LAB และ Mao-Investor และขยายไปสู่ธุรกิจแพลต์ฟอร์ม Blockdit (ลดการพึ่งพาสื่อภายนอก), การให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ (LTMH Rocket), การจัดงานอิเวนต์ ธุรกิจการจำหน่ายหนังสือ และธุรกิจ WealthTech โดยใช้ประโยชน์จากฐานผู้ติดตามกว่า 8.3 ล้านคน LTMH จึงไม่ใช่แค่บริษัทสื่อออนไลน์ แต่กำลังก้าวสู่ธุรกิจการเงินที่มีศักยภาพสูง LTMH จะเพิ่มทุน IPO 50 ล้านหุ้น (25% ของหุ้นหลัง IPO) เพื้อขยายการลงทุนใน WealthTech ชำระคืนเงินกู้และสำรองเป็นเงินหมุนเวียน เราคาดรายได้และกำไร +30% และ +48% CAGR (2024-26) ตามลำดับ ประเมินราคาเป้าหมาย 7.40 บาท (Finansia เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายฯ)

(+) BA บริษัทตั้งเป้า passenger +9%, Load factor +2% และ maintain ticket fares ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการของเรา ส่วน advance booking ช่วงเดือนมีนาคม ถึง ก.ย. +5% y-y โดยเป็น route samui +14% y-y ผู้บริหารคาดว่า 1Q25 จะยังเป็นไตรมาสที่ดี เช่นเดียวกับ 1Q24 บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับภาครัฐเพื่อปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญาของสนามบินอู่ตะเภา กรณีที่รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินมีการ delay ออกไป คาดได้ข้อสรุปภายในเดือนนี่ราคาเป้าหมาย 30 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) RBF ตังเป้ารายได้ปี 2025 โต 10-15% y-y ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอินโดเวียดนาม ยอด 4Q24 ทำนิวไฮ แนวโน้มยังดีต่อ และทั้ง 2 ประเทศจะพลิกมีกำไรครั้งแรกในปีนี้ ล่าสุดเริ่มได้คำสั่งซื้อเล็กน้อยจากรัสเซียใน 1Q25 ส่วนก้อนใหญ่ยังอยู่ระหว่างทดสอบสินค้า คาดกำไรจะฟื้นตัวต่อใน 1Q25 และจะกลับมาโต y-y ใน 2Q25 และคาดกำไร 2H25 อาจฟื้นตัวได้ชัดเจนมากขึ้น จากการเริม Operate โรงงานใหม่ที่อยุธยา และอินเดีย คงราคาเป้าหมาย 6.70 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) OSP ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โต 5-8% y-y มาจาก personal care, ต่างประเทศไตในอัตราสองหลัก ส่วนเครื่องดื่มในประเทศตั้งเป้าโต 5% y-y ตั้งเป้าเพิ่ม market share สิ้นปี 2025 เพิ่มขึ้น 2-5% จาก 45.8% สิ้นปี 2024 ภาพรวมยังทำได้ตามแผน แต่กลยุทธ์ 10 บาท จะสำเร็จหรือไม่ เรายังต้องติดตามต่อไป คาดเห็นความชัดเจนมากขึ้นใน 2025 คงราคาเป้าหมาย 24 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) CK ตั้งเป้าปี 2025 รายได้เติบโต +7% y-y และ GPM อยู่ที่ 7-8% สอดคล้องกับคาดการณ์ของเรา Backlog ปัจจุบัน 2.1 แสนลบ.ทำ New High ปีนี้มีโครงการที่เป็นเป้าหมายเข้าประมูลรวม 7.2 แสนลบ. ประเด็นการขายหุ้นโรงไฟฟ้าหลวงพระบางจากเดิมถือ 20% เป็น 10% ช่วยให้ CK นำเงินที่ได้ไปคืนหนี้ และลดความผันผวนของส่วนแบ่งกำไรจากบริษทร่วม แนวโน้มกำไร 1Q25 ฟื้นตัวจากฐานต่ำใน 4Q24 ก่อนจะเร่งขึ้นใน 2Q-3Q25 จากเงินปันผลรับของ TTW และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่ม

(-) SAPPE  ปรับลดเป้ารายได้ปีนี้เหลือโต 5% จากเดิม 15-20% หลังการระบายสต็อกในอังกฤษและฝรังเศสที่ยังไม่จบ โดยผบห.ระบุว่าอาจกลับมาฟื้นใน 3Q25 ส่วนเกาหลีใต้มีปัญหากำลังซื้อและแข่งขันสูง จึงเลื่อนโรงงานใหม่ออกไปเป็น 1Q26 เราปรับลดกำไรปี 2025 ลง 28% และ De-rate valuation จากกำไรที่จะชะลอตัวและความผันผวนที่มากขึ้น ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 40 บาท แนะนำชะลอการลงทุน จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวอีกครั้ง

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 427.51 จุด หรือ -0.99%, ปิดที่ 42,579.08 จุด ปิดลดลงเกือบ 1% ส่วนดัชนี Nasdaq ทรุดตัวลงกว่า 2% และเข้าสู่เขตปรับฐาน (Correction Territory) แล้ว เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

(0) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดทรงตัว หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามคาด ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่เพิ่มขึ้นกดดันตลาด

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ ตามทิศทางตลาดสหรัฐฯหลังตลาดมีการปรับฐาน รอการรายงานตัวเลข non-farm payroll คืนนี้

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่าอยู่ที่บริเวณ 33.71 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.25%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 5 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 66.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ รวมทั้งข่าวที่ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรหรือโอเปกพลัส ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย. ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 66.19 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.26%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ เพิ่มขึ้น 0.02% ปิดที่ 2,926.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยบรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และจากการที่นักลงทุนขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นติดต่อกันหลายวัน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาตัวเลข จ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 2,912.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.49%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 898.64/ -0.19%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

7 มี.ค.จีน: ส่งออก

สหรัฐ: Non-Farm Payrolls (ก.พ.)

9 มี.ค.จีน: เงินเฟ้อ (ก.พ.), National People’s Congress
12 มี.ค.สหรัฐ: เงินเฟ้อ (ก.พ.)
13 มี.ค.สหรัฐ: Core PPI (ก.พ.), initial Jobless Claims
14 มี.ค.จีน: New Yuan Sales, Vehicle Sales (ก.พ.)
- Advertisement -