Daily Focus: บรรยากาสการลงทุนยังเป็นลบต่อจากการตอบโต้ทางภาษี

2025 SET Target: 1180

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงแรงกว่าที่ประเมินเล็กน้อย ปิดลบ 50.62 จุด ที่ระดับ 1,074.59 จุด ชดเชยที่ปิดทำการวานนี้ ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่สูงถึง 6.7 หมื่นลบ. โดยถูกกดดันจากความกังวลอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวหรือถึงขั้นถดถอยจากผลของนโยบายภาษีการค้าตอบโต้ของสหรัฐฯ สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นสูงต่อเนื่องอีก 4.8 พันลบ.และ 2.5 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติพลิกมา Long Index Futures 1.6 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index มีโอกาสปรับตัวลงต่อเนื่องทดสอบ Low วานนี้ บริเวณ 1,056+- จุดจากบรรยากาศการลงทุนที่ยังคงเป็นลบ จากความกังวลสงครามการค้าลุกลาม หลังล่าสุดสหรัฐฯยืนยันเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 50% เป็น 104% หากจีนไม่ยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้ในช่วงก่อนหน้า โดยจะมีผลวันนี้เวลา 11.01 น. ตามเวลาไทย ส่งผลให้เม็ดเงินยังผันผวนและไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจถึงขั้นถดถอย โดยล่าสุดประเมินชะลอตัวหรืออาจถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอย ล่าสุดความน่าจะเป็นขยับขึ้นเป็นราว 40-50% และมีโอกาสที่ FED จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด โดยล่าสุดตลาดประเมินโอกาส 50% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปเดือน พ.ค. และทั้งปีคาดว่าจะปรับลงถึง 5 ครั้งจากระดับปัจจุบันที่ 4.25-4.50% ด้านปัจจัยในประเทศต้องติดตามพัฒนาการการเจรจากับสหรัฐฯ หลังวานนี้คลังฯมีการเปิดเผย 5 แนวทางในการเจรจาแล้ว ส่วนวันนี้ติดตามพ.ร.บ. Entertainment Complex ที่จะเข้าพิจารณาในสภาฯ ด้านนโยบายการเงินเราคาดว่ามีโอกาสค่อนข้างสู่ที่กนง.จะปรับลดดอกเบี้ย 25 bps จากระดับ 2% ในการประชุมปลายเดือนนี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดผลกระทบเชิงลบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและไทยที่ชะลอตัว เรายังแนะนำเลี่ยงลงทุนกลุ่มวัฏจักร ส่งออก และภาคการผลิต เช่น พลังงาน ปิโตรเคมีอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสัตว์เลี้ยง ยาง เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะปรับตัวได้แข็งแรงกว่าคือ Defensive / Consumer Staple / ภาคบริการ รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงได้แก่ สื่อสาร การแพทย์ โรงไฟฟ้า IPP ค้าปลีก ไฟแนนซ์

กลยุทธ์ : ยังเน้น Selective Buy หุ้น Domestic ที่มีแนวโน้มกำไร 1Q25-2025 แข็งแกร่งและกระทบจำกัดต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว

หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP

FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR

หุ้นเด่น Finansia 9 เม.ย. 25 : CPALL

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท
  • โมเมนตัมกำไร 1Q25 คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง y-y หนุนจาก SSSG ที่ยังคงเป็นบวกได้ราว 1-3% ทั้ง 7-Eleven และ CPAXT โดยยังตั้งเป้า SSSG ทั้งปีเติบโตราว +3% ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
  • เราคาดกำไรปี 2025 ที่ 2.8 หมื่นลบ. +10% y-y และมองว่าธุรกิจของ CPALL ถูกกระทบจำกัดจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯเนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าบริการจำเป็น
  • แนวรับ 46.75 บาท แนวต้าน 48.75-49.25//51 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคสุทธิหนาแน่นต่อเนื่องอีก US$1,742 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$887 ล้าน รองลงมาคือเกาหลีใต้ US$483 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนหลายตลาดกลับมาเปิดทำการ ทำให้เม็ดเงินไหลออกหนาแน่นสูงสุดที่อินโดนีเซีย US$228 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออกจากความกังวลการเก็บภาษีการค้าตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) ปรับลด SET Target เหลือ 1,180 จุด จาก 1,390 จุด เหลือ 1,180 จุด (อิง EPS 84 บาท และ PER 14 เท่า) จากผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและกำไรบจ.จากผลของ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ 37% หากใช้ PER ต่ำสุดช่วงโควิดที่ 12.2 เท่า จะหมายถึง downside ของดัชนีที่ประมาณ 1,025 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับ BV ปี 2025 และคิดเป็น P/BV ราว 1 เท่า ดังนั้นเรามองว่าการปรับฐานของดัชนียังเป็นโอกาสในการสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวจากระดับมูลค่าที่น่าสนใจ เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น Domestic และ Defensive ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัดและมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงโอกาสสูงในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ในปีนี้ หุ้นที่ว่าจะปรับตัวได้แข็งแกร่งและกระทบจำกัดจากประเด็นดังกล่าว ได้แก่ ADVANC, BDMS, CPALL, CPN, GULF, MTC, NSL, PR9 และ SEAFCO

(+) กลุ่มอสังหาฯ ครม.อนุมัติมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ลบ. มีผลบังคับใช้วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึง 30 มิ.ย.2026 เราประเมินว่าผู้ที่ได้ประโยชน์มากกว่ารายอื่นคือ SPALI และ AP ซึ่งมีสต็อกเหลือขายในราคาดังกล่าวเป็น 76% และ 53% ของพอร์ตรวม ตามลำดับ เรามองว่าเป็นส่วนช่วยพยุงตลาดไปพร้อมกับการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ซึ่งมีผล 1 พ.ค. ซึ่งจะทำให้รับรู้ Backlog ราบรื่นขึ้นอย่างไรก็ตาม มองเป็นบวกต่อตลาดไม่มาก เนื่องจากมีข้อจำกัดจากกำลังซื้ออ่อนแอและความเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ระยะสั้นคาดงบกลุ่มอสังหาฯ 1025 หดตัวและยังไม่สดใสต่อใน 2025 ซึ่ง ถูกกระทบจากแผ่นดินไหว ก่อนทยอยฟื้นตัวใน 3Q25

(-) ASK มีความท้าทายเพิ่มเติมรออยู่ในปีนี้ เราคาดรายได้จะเผชิญแรงกดดัน และต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อจะทรงตัวในระดับสูง ด้านคุณภาพสินทรัพย์คาดว่า NPL ratio จะยังทรงตัวในระดับสูงใกล้ 8.5% ในปีนี้ และคาดว่ากำไรต่อหุ้นและ ROE จะลดลงจากการเพิ่มทุน PPO ที่จะเกิดขึ้นใน 2025 โดยมีอัตราการจองที่ 3:1 ราคาเสนอขาย 7 บาท จากการรับประกันการซื้อ หุ้นที่ไม่ได้รับการจองทั้งหมดของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เราคาดกำไรสุทธิปี 2025 จะลดลงประมาณ 45% y-y จากความท้าทายที่มีในอนาคต ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท และปรับลดคำแนะนำเป็น REDUCE

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 320.01 จุด หรือ -0.84%, ปิดที่ 37,645.59 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 5,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะเดินหน้าบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับประเทศต่าง ๆ ตามกำหนดที่วางไว้

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้น โดยฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนหลังจากร่วงลงติดต่อกัน 4 วัน แม้ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปฏิกิริยาของประเทศต่าง ๆ ต่อมาตรการเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

(-) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบ รอรับมาตรการภาษี Reciprocal Tariffs ที่จะมีผลคืนนี้

(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่บริเวณ 34.92 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.66%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.85% ปิดที่ 59.58ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยและทำให้ความต้องการใช้พลังงานอ่อนแอลง ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 57.53 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -3.44%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 16.60 ดอลลาร์ หรือ 0.55% ปิดที่ 2,990.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 2,985.00 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.17%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 925.92/ -0.09%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

9 เม.ย.ญี่ปุ่น: Consumer Confidence (มี.ค.)
10 เม.ย.สหรัฐ: เงินเฟ้อ (มี.ค.), FOMC Minutes
11 เม.ย.จีน: เงินเฟ้อ (มี.ค.)
12 เม.ย.สหรัฐ: Core PPI (มี.ค.)
14 เม.ย.จีน: ส่งออก (มี.ค.)
- Advertisement -