KS Daily View 23.04.2025 >>> มอง SET รับ Sentiment บวกหนุนจากเจรเจาการค้ากับอินเดีย และมีสัญญาณผ่อนคลายไปถึงจีน หุ้นไทยปรับตัวรับ Sentiment บวก SET วันนี้ กรอบ 1,140-1,175 หุ้นแนะนำ GPSC, AOT

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาขึ้นแรง ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.51%, Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 2.71% และ Dow Jones เพิ่มขึ้น 2.66%จากความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับอินเดียและความหวังในการคลี่คลายข้อพิพาทกับจีน หลังมีรายงานว่า รมว.คลังสหรัฐให้ความเห็นว่าสถานการณ์ภาษีกับจีนในปัจจุบันไม่ยั่งยืน และคาดว่าจะเกิดการคลี่คลายเร็ว ๆ นี้

ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,144.05 จุด ปรับตัวขึ้นราว 9 จุด (+0.82%) หนุนโดยหุ้นในกลุ่มใหญ่ที่ส่วนมากปรับตัวขึ้น นำโดยโรงไฟฟ้า โรงกลั่น ค้าปลีก ขนส่ง การเงิน และท่องเที่ยว ขณะที่กลุ่มธนาคารยังคงถูกกดดันจากผลประกอบการและความกังวลว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า จากที่วานนี้มีสัญญาณการผ่อนคลายของสงครามการค้า คือการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียที่เป็นการพบกันระหว่างรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ และนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทระ โมดี มีโทนที่เป็นบวก รวมถึงในสัปดาห์นี้จะมีการพบกันระหว่างรัฐมนตรีคลังของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อหาข้อตกลงต่อไป ทำให้อินเดียอาจเป็นประเทศแรกที่บรรลุข้อตกลงการค้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรายงานว่าสก็อตต์ เบสเซนท์ และโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการคลี่คลายการค้ากับจีน นอกจากนี้การปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกของ IMF เมื่อคืนนี้ที่จากเดิมคาดปี 2025 โต 3.3% สู่ 2.8% สะท้อนเศรษฐกิจยังไม่เข้าขั้นภาวะถดถอยแม้จะได้รวมผลของนโยบายภาษีไปแล้วบางส่วน เราประเมิน SET น่าจะปรับตัวขึ้นได้โดยมองกรอบวันนี้ที่ 1,140 – 1,175 หุ้นแนะนำ GPSC, AOT อย่างไรก็ตามเรายังไม่คาดหวังว่า EPS ของ SET จะมี Upside จากประมาณการของเราที่ 88 แต่จาก Sentiment ที่ดีขึ้นอาจมีการปรับ PER ขึ้นเล็กน้อยจากกรอบ -1SD (13 เท่า) เป็น -0.75SD (13.75 เท่า) ทำให้ SET อาจมี Upside ได้ถึง 1,210 จุดบวกลบ

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนท์ ส่งสัญญาณบวกต่อการเจรจาการค้ากับเอเชีย โดยระบุว่าสถานการณ์สงครามภาษีกับจีนที่มีการเก็บภาษีสูงถึง 145% และจีนตอบโต้ที่ 125% นั้นไม่สามารถยั่งยืนได้และจะมีการลดความตึงเครียดในเร็วๆ นี้ ขณะที่การเจรจากับอินเดียมีความคืบหน้า โดยเบสเซนท์จะพบกับรัฐมนตรีคลังอินเดียที่วอชิงตันสัปดาห์นี้ พร้อมกับที่รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ เยือนอินเดียและเรียกร้องให้เป็น “ยุคใหม่” ของความร่วมมือ หลังอินเดียแสดงท่าทีเชิงบวกด้วยการลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ และสัญญาจะซื้อพลังงานและอาวุธมากขึ้น
  2. รัฐบาลไทยกำลังเร่งจัดการประเด็นสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยนายกฯ แพทองธารเรียกประชุมด่วนเพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า มอบให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ออกหนังสือรับรองฯ เพียงหน่วยงานเดียว พร้อมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ ตั้งเป้าแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จใน 90 วัน ขณะที่การเจรจาการค้า รองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร หัวหน้าทีมเจรจา เผยว่าขอชะลอการเจรจาเพื่อดูท่าทีประเทศอื่นก่อน พร้อมแบ่งทีมทำงานเป็น 2 ส่วน คือทีมในสหรัฐฯ ที่ประสานกับฝ่ายสหรัฐฯ และทีมในไทยที่เตรียมมาตรการรับมือผลกระทบ โดยประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ กังวลคือเรื่องค่าเงินและการสวมสิทธิส่งออกสินค้า
  3. องค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA) ประกาศปรับระดับมาตรฐานการบินของไทยจาก Category 2 กลับสู่ Category 1 เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี หลังถูกลดระดับตั้งแต่ปี 2558 การปรับระดับนี้เกิดขึ้นหลังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) แก้ไขข้อบกพร่องทั้ง 36 ข้อได้ครบถ้วน ส่งผลให้สายการบินไทยสามารถบินตรงเข้าสหรัฐฯ รวมถึงเปิดเส้นทางใหม่หรือเพิ่มความถี่เที่ยวบินไปยังประเทศที่ให้ความสำคัญกับผลการประเมินของ FAA เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และฮ่องกง ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานและสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานการบินของไทย
  4. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ยืนยันเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 มอบเงิน 10,000 บาท ให้กลุ่มอายุ 16-20 ปี ประมาณ 2.7 ล้านคน วงเงิน 27,000 ล้านบาท โดยจะบรรจุวาระเข้า ครม. ภายใน 1-2 สัปดาห์ และผู้มีสิทธิ์จะได้รับเงินก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน ขณะที่นายอนันต์ แก้วกำเนิด ผอ.สำนักงบประมาณ ยืนยันงบประมาณปี 2569 ยังคงตัวเลขเดิมแม้จะมีสถานการณ์ภาษีสหรัฐฯ และโครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังเดินหน้าตามแผน พร้อมเผยการเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2568 อยู่ที่ 72.93% สูงกว่าเป้าที่ 66% ในไตรมาส 2
  5. กรมที่ดินประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนองอสังหาริมทรัพย์เหลือ 0.01% สำหรับบ้าน คอนโด และอาคารพาณิชย์ที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2568 ถึง 30 มิถุนายน 2569 สำหรับบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย เพื่อช่วยบรรเทาภาระประชาชนและกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

GPSC: ราคาพื้นฐาน 41.50 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ GPSC จากการคาดการณ์กำไรในไตรมาส 1/2568 ที่จะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากอัตรากำไรที่ดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง 4% YoY และราคาถ่านหินลดลง 20% YoY ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 13.4% และอัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเป็น 12.4% จาก 11.9% ในไตรมาส 4/2568 และ 11.0% ในไตรมาส 1/2567 นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปีที่อยู่ในทิศทางลงส่งผลบวกเชิง sentiment ให้กลุ่มโรงไฟฟ้า พร้อมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทจะช่วยให้อัตรากำไรของบริษัทดีขึ้นในระยะกลางเช่นกัน

AOT: ราคาพื้นฐาน 63.98 บาท

เราแนะนำเก็งกำไร AOT จากการที่ไทยได้กลับสู่ FAA Category 1 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ระยะยาวต่ออุตสาหกรรมการบินไทย โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางบินไปสหรัฐฯ คาดส่งผลให้การบินไทยมีมาตรฐานได้รับการยอมรับมากขึ้นในระดับสากล ราคามีโอกาสฟื้นตัวหลังจากรับข่าวร้ายไปพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับการเติบโตของเที่ยวบินต่างชาติที่เพิ่มขึ้น 5.5% YoY และจำนวนผู้โดยสารต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น 2.3% ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E 21.x เท่า และ ROE ปี 2568 อยู่ที่ 18.5%

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโซนยุโรป (HCOB Manufacturing PMI Flash) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 47.5 จุด ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 48.6 จุด ต่อด้วยการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของสหรัฐ (S&P Global US Manufacturing PMI Flash) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 49.3 จุด ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 50.2 จุด
  • วันพฤหัสฯ ติดตามยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ (US Durable Goods Orders) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +1.5% MoM เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +1.0% MoM ต่อด้วยรายงานยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.14 ล้านหลัง ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.26 ล้านหลัง
  • วันศุกร์ ติดตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์ไทยในตัวเลขส่งออก (TH Export) เดือน มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +10.7% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +14.0% YoY และตัวเลขนำเข้าเดือน (TH Import) มี.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +3.6% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +4.0% YoY
    *ข้อมูลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลใหม่และแหล่งที่มาที่แตกต่างกัน
- Advertisement -