KS Daily View 28.04.2025 >>> SET ปรับขึ้น 3 สัปดาห์ จากความหวังการเจรจาของประเทศมหาอำนาจ มองกรอบ SET วันนี้ 1,150-1,170 จุด แนะนำ GULF, TOP

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้: คาดตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่งตัวในกรอบ 1,140-1,190 จุด โดยแนวโน้มหลักเริ่มฟื้นตัว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนจากเทรนด์ขาลงเป็นแนวโน้ม sideway หรือขาขึ้น เนื่องจากระยะสั้นความเสี่ยงลบเริ่มจำกัดหลังรับรู้ข่าวลบไปมาก ขณะที่ตลาดเริ่มคาดหวังความคืบหน้าเรื่องเจรจาการค้า การลดดอกเบี้ยของ กนง. และเงินลงทุนจากกองทุน Thai ESGX แม้จะมีการเลื่อนการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ แต่ตลาดให้ความสนใจความคืบหน้ากับคู่ค้าอื่นๆ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น และยุโรป ส่งผลให้หุ้นกลุ่มส่งออกและ Global play มีโอกาส outperform ต่อ โดยเฉพาะหลังตัวเลขส่งออกไทยขยายตัวแรงสุดในรอบ 3 ปี นำโดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA HANA KCE) และ CPF ที่อาจได้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้า ขณะที่ปัจจัยสำคัญคือการประชุม กนง. วันพุธที่คาดลดดอกเบี้ย 25 bps เป็น 1.75% ซึ่งจะช่วยหนุนกลุ่มการเงิน (MTC TIDLOR SAWAD) แต่เป็นลบต่อกลุ่มธนาคารที่กังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และ NIM ที่ลดลง นอกจากนี้ยังต้องติดตามผลประกอบการกลุ่มพลังงาน Q1/25 ที่คาดลดลงทั้ง QoQ และ YoY ตามค่าการกลั่นและกำไรสต๊อกน้ำมันที่ลดลง

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,159.00 จุด เพิ่มขึ้นราว 12 จุด (+1.06%) ปรับตัวขึ้น 3 สัปดาห์ติดต่อกัน หนุนโดยหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA ที่เพิ่มขึ้น 19% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มใหญ่อื่นๆ ส่วนมากปรับตัวลดลง สัปดาห์นี้เราประเมินตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นได้จาก Sentiment เชิงบวกการเจรจาการค้า, การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากกนง. และเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน Thai ESGX หุ้นแนะนำในพอร์ตสัปดาห์นี้เป็น GULF TOP SYNEX GPSC

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1. DELTA Electronics Thailand รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยมีกำไรปกติ 5.0 พันล้านบาท เติบโต 31% YoY และ 143% QoQ สูงกว่าที่ KS คาด 25%ด้านยอดขายในสกุลดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 25.6% เนื่องจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI และศูนย์ข้อมูล รวมถึงไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราส่วน SG&A ต่อรายได้ลดลงเหลือ 12.2% จากการลดลงของค่าลิขสิทธิ์ที่จ่ายให้บริษัทแม่และค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย

2. จีนเตรียมยกเว้นภาษี 125% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 131 รายการ รวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ เคมีภัณฑ์ และสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ 8 รายการ (ไม่รวมชิปหน่วยความจำ) ขณะที่อินเดียอยู่ระหว่างเจรจากับสหรัฐฯ ครอบคลุม 19 หมวดหมู่สินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 26% ส่วนญี่ปุ่นเตรียมเจรจารอบ 2 สัปดาห์หน้าเพื่อขอทบทวนภาษี 24% ที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และสินค้าอื่นๆ โดยทรัมป์ระบุใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว พร้อมคาดการณ์ว่าการเจรจากับประเทศคู่ค้าทั้งหมดจะสิ้นสุดในอีก 3-4 สัปดาห์ แม้จีนและสหรัฐฯ จะยังไม่ได้เริ่มการเจรจาอย่างเป็นทางการก็ตาม

3. กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมจีนเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 2.6% เทียบกับปีก่อน ส่งผลให้ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 0.8% โดยได้แรงหนุนจากภาคการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงที่กำไรเพิ่มขึ้น 3.5% พลิกจากการลดลง 5.8% ในสองเดือนแรก แสดงให้เห็นความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่จีนเตรียมแผนฉุกเฉินรับมือผลกระทบภายนอกและมุ่งรักษาเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 5% โดยคณะกรรมการโพลิตบูโรสัญญาจะสร้างเครื่องมือทางการเงินและนโยบายใหม่เพื่อกระตุ้นเทคโนโลยี การบริโภค และการค้า

4. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำลังเร่งดำเนินการร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อให้สามารถประกาศค่าไฟฟ้างวดใหม่ (พ.ค.-ส.ค. 2568) ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ให้ทันภายในวันที่ 30 เมษายนนี้ โดยยังต้องเคลียร์ประเด็นข้อกฎหมายบางส่วนให้ชัดเจน หากไม่ทันกำหนดจะมีการเตรียมวิธีการรองรับไว้แล้ว เช่น การหักลบกับบิลค่าไฟในเดือนถัดไป

5. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังหารือกับรัฐมนตรีคลังลักเซมเบิร์กเพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาศูนย์กลางทางการเงินระหว่างสองประเทศ พร้อมผลักดันพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืนของไทยเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก โดยไทยมีร่าง พ.ร.บ. Financial Hub ที่จะเปิดโอกาสให้ประกอบธุรกิจการเงิน 8 ประเภท และจัดตั้งสำนักงาน OSA เพื่อให้บริการภาครัฐแบบครบวงจร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

Daily pick

GULF: ราคาพื้นฐาน 61.00 บาท

คาดว่าแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1/2568 ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจัยการเติบโตเชิง YoY ได้แรงหนุนจากการดำเนินงานเต็มปีของโรงไฟฟ้า IPP ที่เริ่ม COD ในปี 2567 จำนวน 2.07 GW และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 500-600 MW ทั้งนี้ GULF จะมีการ COD โรงไฟฟ้าใหม่ในปี 2568 ได้แก่ HKP ยูนิต 2 (770 MW) ในเดือนมกราคม 2568 และโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (700 MW) ในช่วงปลายปี หนุนการเติบโตของรายได้และกำไรในปี 2568 เพิ่มขึ้น 27% และ 14% ตามลำดับ หลังควบรวมกิจการกับ INTUCH จะช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของ GULF ลดลงจาก 2.2 เท่า มาอยู่ที่ต่ำกว่า 1.0 เท่า ทำให้สามารถกู้เพิ่มได้มากขึ้นเพื่อระดมทุนสำหรับโครงการใหม่ อีกทั้ง TRIS ได้เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทจาก “A+” เป็น “AA-” ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของเงินกู้และหุ้นกู้ใหม่ในอนาคตลดลง

TOP: ราคาพื้นฐาน 28.80 บาท

ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายด้วย P/BV ปี 2568 ที่ 0.38 เท่า เกือบต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตถึง 2.5 เท่า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโรงกลั่นในประเทศที่ประมาณ 0.50 เท่า มองว่าราคาหุ้นอาจกลับมาฟื้นตัวหลังจากความกังวลเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการ CFP คลี่คลาย ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นไตรมาส 2/2568 หรือช่วงต้นไตรมาส 3/2568 เป็นอย่างช้า ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 จะได้แรงหนุนจากการกลับมาดำเนินการของ SBM 2 ในเดือนกุมภาพันธ์ ช่วยประหยัดต้นทุนได้ประมาณ 0.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยจะรับรู้เต็มในไตรมาส 2 ส่วนค่าการกลั่น (GRM) มีแนวโน้มอาจเริ่มฟื้นตัวขึ้นในปลายไตรมาส 2/2568 จากแรงหนุนฤดูการขับขี่ (driving season) ของสหรัฐ

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

วันจันทร์ ติดตามดัชนีธุรกิจภาคการผลิตของธนาคารกลางรัฐดัลลาสในสหรัฐ (Dallas Fed Manufacturing Index) เดือน เม.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -16.3 จุด

วันอังคาร ติดตามยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย (Thailand Care Sale) เดือน เม.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 49,313 คัน ต่อด้วยตัวเลขตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ของสหรัฐอเมริกา (JOLTS Job openings) เดือน มี.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 7.57 ล้านตำแหน่ง

วันพุธ ติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของจีน (China NBS Manufacturing PMI) เดือน เม.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 50.5 จุด ต่อด้วยการประชุม กนง. ของไทย โดยตลาดคาดจะลดดอกเบี้ย 25 bps สู่ระดับ 1.75% และตัวเลขส่งออก (TH Exports) ของ ธปท. เดือน มี.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 13.9% YoY และตัวเลขนำเข้า (TH Imports) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 4.1% YoY ปิดท้ายด้วยการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา GDP 1Q25 ตลาดคาดที่ +0.4% QoQ ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ +2.4%

วันพฤหัสฯ ติดตามผลการประชุมของ BoJ โดยตลาดคาดว่า BoJ จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.50% และปิดท้ายด้วย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตสหรัฐอเมริกา (US ISM Manufacturing PMI) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 47.9 จุดปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 49.0 จุด

วันศุกร์ ติดตามการรายงานเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐ ภาคจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payrolls) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.23 แสนตำแหน่งชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.28 แสนตำแหน่ง ต่อด้วยตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.2% ทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา

- Advertisement -