KS Daily View 2 พ.ค. 2025>>> S&P 500 ปรับตัวขึ้น 8 วันติดต่อกัน หนุนโดยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นเทค ด้านหุ้นไทยปิดบวกรายเดือนครั้งแรกในรอบครึ่งปี มองปรับตัวขึ้นต่อหลังตลาดเริ่มมีปัจจัยหนุน ลดดอกเบี้ยและ Thai ESGX กรอบ 1,190-1,210 แนะนำ GPSC, CPALL
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.63%, Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 1.52% และ Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.21% แรงหนุนมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Microsoft และ Meta ที่พาให้กลุ่ม Software และ Semiconductors ปรับตัวขึ้นแรง และถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจอย่าง ISM Manufacturing จะออกมาที่ 48.7 แต่ยังเป็นระดับที่สูงกว่าตลาดคาด
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,197.26 จุด เพิ่มขึ้นราว 26 จุด (+2.23%) ทำให้ SET ปิดบวกรายเดือนได้เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน แรงหนุนมาจากหุ้น DELTA ที่ปรับตัวขึ้น 49% ในเดือนที่แล้ว และ 11% ในวันพุธที่ผ่านมา รวมถึงการที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps สู่ระดับ 1.75% เรามองว่า กนง. มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเติบโตของสินเชื่อหดตัว คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ และความเสี่ยงจากสงครามการค้า เรามองว่าตลาดได้รับปัจจัยลบไปมากแล้ว ในขณะที่ปัจจัยใหม่อย่าง ความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าของประเทศมหาอำนาจช่วยผ่อนคลายสงครามการค้า การปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจาก ธปท. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งหลังปี 2568 และเม็ดเงินใหม่จากกองทุน Thai ESGX น่าจะเป็นแรงสนับสนุนตลาดได้ สำหรับวันนี้
คาดว่า SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,190 – 1,210 จุด โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้น GPSC และ CPALL
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- สหรัฐฯ รายงาน ISM ภาคการผลิตเดือนเมษายนลดลง 0.3 จุด เหลือ 48.7 ซึ่งต่ำกว่า 50 บ่งชี้ภาวะหดตัว แต่ยังมากกว่าตลาดคาดที่ 47.9 สาเหตุมาจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าและความไม่แน่นอนทางการค้า ขณะที่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์พุ่งขึ้น 18,000 ราย เป็น 241,000 ราย สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 225,000 ราย และสูงสุดนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ โดยผู้รับสวัสดิการต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 83,000 ราย เป็น 1.92 ล้านราย สูงสุดนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2564 สะท้อนแนวโน้มการเลิกจ้างที่เพิ่มขึ้น
- กระทรวงการคลังปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 เหลือ 2.1% จากเดิม 3.0% เนื่องจากแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยคาดการส่งออกจะโต 2.3% แม้จะได้รับการบรรเทาจากการเลื่อนใช้ภาษี 90 วันและการยกเว้นสินค้าบางรายการ ขณะที่การบริโภคเอกชนยังขยายตัวดีที่ 3.2% จากกำลังซื้อในประเทศและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว โดยกระทรวงการคลังเตรียมมาตรการรับมือ ทั้งการเจรจากับสหรัฐฯ การเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการช่วยเหลือผู้ส่งออกผ่าน EXIM Bank
- มูดี้ส์ปรับลดมุมมองอันดับเครดิตธนาคารไทย 7 แห่งเป็น Negative จาก Stable หลังจากปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทย สะท้อนความเสี่ยงจากเศรษฐกิจและการคลังที่อ่อนแอลงท่ามกลางภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจกระทบต่อโครงสร้างเครดิตของธนาคารไทยที่เผชิญปัญหาการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ด้อยลงจากโควิด รวมถึงความสามารถของรัฐบาลในการสนับสนุนธนาคารเมื่อจำเป็น
- รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา นายสรวงศ์ เทียนทอง เผยสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าขั้นวิกฤติ หลังตัวเลข 4 เดือนแรกของปี 2568 โตเพียง 0.12% ที่ 11.84 ล้านคน โดยมีจีน 1.6 ล้านคน สาเหตุจากภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยและข่าวเชิงลบ เตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องมาตรฐานราคาบริการและลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน พร้อมเพิ่มเที่ยวบินเช่าเหมาลำ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงโดยเฉพาะจากจีน
- นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติครั้งแรก เพื่อผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาค โดยตั้งเป้าสร้างบุคลากรด้าน AI ภายใน 2 ปี แบ่งเป็น AI User 10 ล้านคน AI Professional 90,000 คน และ AI Developer 50,000 คน พร้อมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลร่วมกับเอกชนมูลค่า 5 แสนล้านบาท เน้นประยุกต์ใช้ในสาธารณสุข ท่องเที่ยว และเกษตรกรรม โดยตั้งเป้าให้หน่วยงานรัฐเป็นระบบดิจิทัลทั้งหมดภายในปี 2569
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- GPSC: ราคาพื้นฐาน 41.50 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ GPSC จากการคาดการณ์กำไรในไตรมาส 1/2568 ที่จะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากอัตรากำไรที่ดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง 4% YoY และราคาถ่านหินลดลง 20% YoY ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 13.4% และอัตรากำไรจากการดำเนินงานดีขึ้นเป็น 12.4% จาก 11.9% ในไตรมาส 4/2567 และ 11.0% ในไตรมาส 1/2567 นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปีที่อยู่ในทิศทางลงส่งผลบวกเชิง sentiment ให้กลุ่มโรงไฟฟ้า พร้อมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทจะช่วยให้อัตรากำไรของบริษัทดีขึ้นในระยะกลางเช่นกัน
- CPALL: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ CPALL จากการคาดการณ์กำไรในไตรมาส 1/2568 ที่จะเติบโตราว 7% YoY จากธุรกิจ 7-11 เราคาดการณ์ CPALL รายงานยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 1/2568 ที่ระดับประมาณ 2-3% นำโดยสินค้าอาหารพร้อมรับประทาน (RTE) และเครื่องดื่มพร้อมดื่ม (RTD) โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้เติบโตได้ระดับ 8% YoY โดยเรามองอัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นจากการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงเช่นกลุ่ม RTE และการลดลงของสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำอย่างบุหรี่ ในขณะที่ธุรกิจของ CPAXT เราคาดยอดขายเติบโตราว 1.9% พร้อมกับการขยายตัวของอัตรากำไรขั้นต้น YoY เช่นกันจากการลดลงของสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำ เราคาดจะเริ่มเห็นผลบวกจากการ synergy อย่างชัดเจนภายในครึ่งหลังปี 2568 นี้
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันศุกร์ ติดตามการรายงานเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐ ภาคจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payrolls) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.23 แสนตำแหน่งชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.28 แสนตำแหน่ง ต่อด้วยตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) เดือน เม.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.2% ทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา