Daily Focus: จับตา FED และการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน

2025 SET Target: 1180

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways to Sideways Down โดยมีแรงขายกดดันท้ายตลาด ทำให้ดัชนีปิดลบ 11.12 จุด ที่ระดับ 1,187.86 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.4 หมื่นลบ. ถ่วงโดยหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน รวมถึง AOT DELTA เป็นต้น สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้น 779 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิ 853 ลบ. (และ Long Index Futures สุทธิ 6.3 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,180-1,200 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุม FED คืนนี้ รวมถึงล่าสุดสหรัฐฯเตรียมเจรจาการค้ากับจีนในสัปดาห์นี้ที่สวิตเซอร์แลนด์ ระยะสั้นเราประเมิน Upside ของดัชนีจะจำกัดมากขึ้นหลังจากฟื้นตัวแรงในช่วงก่อนหน้าและกลับขึ้นมาสู่ระดับเดียวกับก่อนที่ทรัมป์จะประกาศ Reciprocal Tariff โดยยังต้องติดตามพัฒนาการข่าวเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศต่างๆ ว่าจะได้ข้อตกลงภายในช่วงยกเว้นภาษีชั่วคราว 90 วันหรือไม่ ขณะที่คืนนี้ค่อนข้างแน่ว่า FED จะคงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% แต่โฟกัสอยู่ที่ถ้อยแถลงหลังการประชุมว่าจะมีมุมมองต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐฯ อย่างไร รวมถึงจะส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในอนาคตหรือไม่ โดยล่าสุดตลาดให้โอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มิ.ย. เพียง 30% ส่วนเดือน ก.ค. อยู่ที่ 78% ด้านปัจจัยในประเทศโฟกัสอยู่ที่การประกาศกำไร 1Q25 บจ.ที่จะหนาแน่นขึ้น ว่าจะต่ำกว่าคาดหรือไม่ และนำไปสู่การปรับลดประมาณการ EPS ของตลาดลงเพิ่มเติมจากปัจจุบันมากน้อยเพียงใด ยังคงเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 1Q25 แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มดีต่อใน 2Q25-2H25

กลยุทธ์ : ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 1Q25-2025 แข็งแกร่งและกระทบจำกัดจากภาษีการค้าสหรัฐฯและเศรษฐกิจชะลอตัว

หุ้นเด่นเดือน พ.ค. : CPALL, MTC, NSL, OSP, PR9

FSSIA Portfolio: BA, BTG, CPALL, KBANK, MTC, NSL, PR9, STECON

หุ้นเด่น Finansia 7 พ.ค. 25 : ADVANC

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus ที่ 304.59 บาท
  • ประกาศกำไร 1Q25 ที่ 1.06 หมื่นลบ. +3% q-q, +23% y-y ดีกว่าคาดราว 8-9% และดีกว่า Guidance ของบริษัท หนุนจากทั้งฝั่งรายได้ที่เติบโตแกร่งทั้ง Mobile Fixed Broadband และบริการอื่นๆ ขณะที่ต้นทุนโดยรวมต่ำกว่าคาด ทำให้ EBITDA Margin พุ่งขึ้นเป็น 53.4% 
  • แนวโน้มกำไร 2Q25-2H25 คาดยังแข็งแรงต่อเนื่องตามภาพการแข่งขันที่เบาลง และการประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่คาดว่าจะไม่แพงเท่าในอดีต กำไร 1Q25 คิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปีของ Consensus ที่ 3.9 หมื่นลบ. ซึ่งเราคาดว่าตลาดจะปรับประมาณการขึ้นสู่ระดับ 4.1-4.2 หมื่นลบ. 
  • แนวรับ 292-290//280 บาท แนวต้าน 300//307 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคสุทธิ US$622 ล้าน แต่ยังคงกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$596 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ปิดทำการ ขณะที่ฝั่งอาเซียนเม็ดเงินค่อนไปในทิศทางไหลเข้า นำโดยไทย US$26 ล้าน แต่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$12 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะอยู่ใน Mode Wait & See แต่ยังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าหลังสหรัฐฯเตรียมเจรจาการค้ากับจีนที่สวิตเซอร์แลนด์สัปดาห์นี้

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) กลุ่มโรงไฟฟ้า กพช. เห็นชอบกำหนดอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2025 ไม่เกิน 3.99 บาท/หน่วย หากคำนวนค่าไฟฟ้าสำหรับปี 2025 โดยเฉลี่ยทั้งปีราว 4 บาท/หน่วย แม้จะเป็นเทรนลง แต่ถือว่าดีกว่าเราคาด เพราะยังสูงกว่าสมมติฐานในการจัดทำประมาณการที่ 3.75 บาท/หน่วย แต่น่าจะใกล้เคียงกับตลาดคาด เราจึงมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มประมาณการของเรา อย่างไรก็ตาม Sentiment ค่าไฟฟ้าที่อยู่ในระดับต่ำจะยังทำให้ Margin และกำไรของหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าประเภท SPP เรายังให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็น Neutral top pick ยังเป็น GULF ราคาเป้าหมาย 57.7 บาท และ RATCH ราคาเป้าหมาย 34.80 บาท

(+) MTC คาดกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1.58 พันลบ, +14% y-y, +3% q-q จาก Credit cost ที่ลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และสินเชื่อที่คาดว่าจะโต 14% y-y เป็นหลัก เราคาดว่าสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพจะยังอยู่ในระดับที่เอื้ออานวยที่ 2.74% ใน 1Q25 เทียบกับ 2.75% ใน 4Q24 และ 3.03% ใน 1Q24 คงคาดกำไรสุทธิปี 2025 +21% y-y ราคาเป้าหมาย 56 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

(+) SJWD หากไม่รวมกำไรจากการขายเงินลงทุน เราคาดกำไรปกติ 1Q25 ฟื้นตัวต่อเนื่อง +10% q-q, +33% y-y ภาพรวมของทุกธุรกิจยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ผลกระทบจากภาษีการค้ายังประเมินยาก แต่เชื่อว่ามีโอกาสทางบวกมากกว่า คงราคาเป้าหมาย 14 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด 2025E P/E ใกล้เคียงช่วงโควิด ทั้งที่กำไรปัจจุบันสูงกว่า 4 เท่า ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) ITEL คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 24 พันลบ. +21% q-q, -65% y-y แนวโน้ม 1Q25 ยังไม่สดใสมาจากงานประมูลล่าช้าและยังไม่ได้เซ็นสัญญา USO โดยใน Backlog ประมาณ 1,480 ลบ. จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ หวังงานประมูลภาครัฐจะมีมากขึ้นใน 2H25 คงประมาณการกำไรปกติปี 2025 +61% y-y ราคาเป้าหมาย 2.60 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) SAFE คาดกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 30 ลบ. +19% q-q แต่หดตัว 54% y-y โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น q-q หลักๆ มาจาก margin ที่ปรับขึ้น แต่ยังหดตัว y-y จากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และกำลังซื้อระดับบนระมัดระวังการใช้จ่าย คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 เพิ่มขึ้น 10% y-y แต่ยังท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ คงราคาเป้าหมาย 10.25 บาท ยังแนะนำ “ถือ”

(-) BRI, ORI คาดกำไรปกติ 1Q25 อ่อนแอ หดตัวแรง q-q, y-y โดย BRI เราคาดกำไรปกติ -96% q-q, -94% y-y เป็นจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ยอดโอน +4% q-q, -36% y-y แต่แลกมากับการลดลงแรงของ GPM คาดเหลือเพียง 15.5% ต่ำกว่าในอดีตที่เคยทำได้ที่ 30% จากผลรุกทำโปรโมชั่นท่ามกลางการแข่งขันรุนแรง ส่วน ORI คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 80 ลบ. – 75% q-q, -59% y-y จากยอดโอนคาดหดตัวต่ำสุดในรอบ 8 ปี หลักๆจากยอดโอนคอนโดที่หดตัว บวกกับสต็อกในมือมีไม่มาก เราอยู่ระหว่างปรับลดประมาณการและราคาเป้าหมายภาพรวมยังอ่อนแอกว่ากลุ่มฯ ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน ฐานะการเงินค่อนข้างตึงตัว ยังไม่แนะนำ

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 389.83 จุด หรือ -0.95%, ปิดที่ 40,829.00 จุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับช่วงเวลาในการทำข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ (7 พ.ค.) ตามเวลาสหรัฐฯ

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยยุติการปรับขึ้นติดต่อกัน 10 วัน ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องมาตรการภาษีที่กดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนยังคงติดตามดูนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่คาดเดาได้ยาก

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกสวนทางตลาดสหรัฐฯ คาดหวังการเจรจาด้านภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศจีน

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 32.64 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.77%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.96 ดอลลาร์ หรือ 3.43% ปิดที่ 59.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันอังคาร โดยได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอุปสงค์ในจีนฟื้นตัวขึ้น การผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ปรับตัวลง และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหลังจากราคาดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 59.60 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.86%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 100.50 ดอลลาร์ หรือ 3.03% ปิดที่ 3,422,80 ดอลลาร์/ออนซ์ ปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนจีนกลับเข้าซื้อทองคำหลังจากผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาว ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงใน วันนี้ (7 พ.ค.) ตามเวลาสหรัฐฯ รวมทั้งถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,411.00ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.34%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 937.96/ -0.15%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

7 พ.ค.สหรัฐ: ประชุม Fed
8 พ.ค.อังกฤษ: ประชุม BoE
9 พ.ค.จีน: ส่งออก (เม.ย.), ยอดขายรถยนต์ (เม.ย.), New Yuan Loans (เม.ย.)

สหรัฐ: Fed Speech

10 พ.ค.จีน: เงินเฟ้อ (เม.ย.)
- Advertisement -