MTC เปิดผลประกอบการ Q1/68 พอร์ตสินเชื่อโต 13.5% แตะ 167,560 ล้านบาท พร้อมมุ่งมั่นส่งมอบบริการทางการเงินในมาตรฐานระดับโลก
บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2568 โดยพอร์ตสินเชื่อเติบโต 13.5% กำไรสุทธิ 1,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ สามารถควบคุมคุณภาพหนี้เสีย (NPL) ไว้ที่ 2.69% ด้านผู้บริหาร นายปริทัศน์ เพชรอำไพ มั่นใจปี 68 พอร์ตสินเชื่อโตตามเป้า ยกระดับคุณภาพบริการในมาตรฐานระดับโลกเพื่อเปิดโอกาสทางการเงินให้ทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนแก่สังคมไทย

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเผชิญกับความท้าทายจากการปรับขึ้นภาษีทางการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก MTC ยังคงมั่นใจว่า ด้วยกลยุทธ์การขยายพอร์ตสินเชื่อ ผ่านสาขากว่า 8,303 แห่ง ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ ภายใต้อัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยเติบโตได้อย่างมั่นคงในทุกภาวะเศรษฐกิจ
ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2568 พอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 167,560 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.5% รายได้รวม 7,242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.21% และกำไรสุทธิ 1,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตพอร์ตสินเชื่อปีนี้ไว้ที่ 10-15% และตั้งเป้าในการควบคุมสัดส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไว้ให้ไม่เกิน 2.70%
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นตามหลักธรรมาภิบาล พัฒนากระบวนการปล่อยสินเชื่อตลอดห่วงโซ่ของกิจการ เสริมสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน จนได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับดีเลิศ (5 ดาว) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ควบคู่กับผลประเมินหุ้นยั่งยืน (ESG Ratings) ระดับ AAA จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ MSCI ESG Index ระดับ AA อีกทั้งยังได้รับอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาท (National Long-Term Rating) ที่ A-(tha) จาก Fitch Ratings สะท้อนความเป็นผู้นำในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์มาตรฐานระดับโลก (World-class Thai Microfinance)
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก เช่น บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC), องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และ บริษัทเพื่อการลงทุนและการพัฒนาแห่งเยอรมนี (KfW DEG) เป็นต้น และยินดีที่จะร่วมมือกับแหล่งเงินทุนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศอีกหลายแห่งในอนาคต เพื่อส่งเสริมศักยภาพลูกค้าในการดำเนินธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน รักษาเสถียรภาพทางสิ่งแวดล้อม พร้อมเป็นที่พึ่งพาทางการเงินและเติบโตเคียงคู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน