TKN ยังคงบริหารค่าใช้จ่ายได้ดี พร้อมเทิร์นอะราวด์ครึ่งหลังปี 68 ผลงาน Q1/68 ทำรายได้จากการขาย 1,337.4 ล้านบาท งัดกลยุทธ์ “3GO+EVN” บริหารเชิงรุก เดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งในและตลาดต่างประเทศ

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2568 ทำรายได้จากการขาย 1,337.4 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิ 98.5 ล้านบาท หลังเผชิญกับต้นทุนสาหร่ายแพง เดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในทุกมิติรับต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น พร้อมงัดกลยุทธ์ 3GO เสริมทัพกลยุทธ์ EVN เพิ่มความแข็งแกร่ง เร่งขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งกลุ่ม Seaweed และ Non-seaweed สร้าง New S-curve หนุนเทิร์นอะราวด์ครึ่งหลังปี 68 พร้อมจับมือ CHAO เสริมแกร่ง เป็น Strategic Partner ในระยะยาว และพันธมิตรใหม่

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 1,337.4 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย ราวร้อยละ 2.2 และทำกำไรสุทธิ 98.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตราทำกำไรสุทธิ 7.4% ขณะที่ตลาดในประเทศยังมีการเติบโตเชิงบวก โดยในไตรมาส 1 นี้ยังคงเติบโตได้ดีถึง 16.4% แต่ยังคงถูกกดดันจากสถานการณ์ต้นทุนสาหร่ายที่ใช้สาหร่ายล็อตเดิมที่ต้นทุนสูงทั้งหมด ซึ่งเป็นสาหร่ายล็อตที่ซื้อเมื่อปีที่แล้วและเป็นราคาที่สูงที่สุดในรอบ 30 ปี แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการธุรกิจให้มั่นคงและแข็งแกร่ง ภายใต้กลยุทธ์ “3GO” ที่ได้มุ่งเน้นและให้ความสำคัญมาโดยตลอด ได้แก่ 1.) GO FIRM การปรับองค์กรให้กระชับ ลดต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่าย (Productivity) 2.) GO BROAD การขยายฐานกลุ่มธุรกิจให้กว้างขึ้นทั้งประเภทสินค้าและช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงการสร้างคุณค่าและยกระดับตราสินค้า (Branding) และ 3.) GO GLOBAL การขยายตลาดต่างประเทศอย่างมีคุณภาพและมีความยั่งยืน (Sustainability) ทำให้ TKN ยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวอย่างยืดหยุ่นได้ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนต่างๆ

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานที่เหลือของปี 2568 จะทยอยปรับตัวดีขึ้น จากราคาวัตถุดิบสาหร่ายฤดูกาลใหม่ ที่จะเริ่มทยอยใช้ช่วงปลายไตรมาส 2 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ราคาสาหร่ายถือว่าปรับลดลงจากปี 2567 แต่ยังคงสูงกว่าปี 2566 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ให้ความสำคัญการจัดหาวัตถุดิบให้เพียงพอต่อการผลิต และได้เจรจากับซัพพลายเออร์หลายรายไว้ล่วงหน้าเพื่อบริหารความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นและการบริหารต้นทุนอื่นให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามดูสภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันได้เพิ่มแนวทางการบริหารงานใหม่ภายใต้กลยุทธ์ “EVN” ได้แก่ E = Efficiency หรือประสิทธิภาพ โดยทุกการดำเนินงานต้องมีประสิทธิภาพ, V = Volume หรือมีปริมาณการขายสินค้าที่มากขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งสอดรับไปกับภาพรวมของตลาดขนมสาหร่ายยังคงเติบโต 2 หลัก ซึ่ง TKN มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และ N = New Product Development (NPD) หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค

สำหรับ ในปี 2568 บริษัทฯ ได้วางแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่หลากหลายประเภท (Category) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะไม่ต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ถั่วลายเสือ แบรนด์ WoW Nut by Taokaenoi ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สาหร่าย (Non-seaweed) เพื่อทดลองตลาดและถือเป็นการขยายฐานธุรกิจให้กว้างขึ้น รวมทั้งเป็นการช่วยเหลือชุมชนเกษตรกรผ่านการนำผลผลิตทางการเกษตรมาใช้ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และคาดว่าจะทยอยออกสินค้ากลุ่ม Non-seaweed เพิ่มมากขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติก และอีกหลายชนิดสินค้าที่เตรียมนำเสนอสู่ผู้บริโภคเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมมือกับร้านสุกี้ชาบูชื่อดัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ออกผลิตภัณฑ์สาหร่ายทอด 2 รสชาติใหม่ คือ รสน้ำจิ้มสุกี้ และ รสน้ำซุปสุกี้น้ำดำ ถือเป็นการนำ Signature ที่สะท้อนตัวตนของทั้ง 2 แบรนด์ และรังสรรค์เป็นสาหร่ายทอดมากระตุ้นตลาดผู้บริโภค

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวเพิ่มว่า จากสถานการณ์การออกมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐอเมริกา บริษัทฯ ได้ตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยมีแผนกระจายความเสี่ยงโดยการส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ รวมถึงได้ขยายเข้าไปในตลาดใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก และกลุ่มสหราชอาณาจักร ซึ่งจะเน้นตลาด Mainstream ที่เป็นผู้บริโภคท้องถิ่น ด้วยการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและเพิ่มสินค้าในช่องทางที่มีกำลังซื้อสูง โดยมีแผนงานร่วมกับตัวแทนจำหน่าย (Distributor) ในยุโรปที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการจัดจำหน่ายสินค้า ซึ่งคาดว่าจะมาช่วยผลักดันสินค้าให้เข้าไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย และจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้จากการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกัน การที่บริษัทฯ เข้าถือหุ้นใน บมจ.เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี (CHAO) ในสัดส่วน 5.36% ทำให้ TKN เป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 2 เนื่องจากมองเห็นศักยภาพของทั้ง 2 บริษัท รวมถึงต้องการเป็น Strategic Partner ในระยะยาว ในการทำการตลาดและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ร่วมกัน โดยอยู่ระหว่างวางแผนการพัฒนาสินค้าทั้งสินค้าเพื่อต่อยอดไลน์สินค้าและขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่างยั่งยืน

- Advertisement -