บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* เดินหน้าสู่โครงสร้างราคาก๊าซที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากขึ้น
Event: มองกลาง ๆ หลังการประชุมนักวิเคราะห์งวด 1Q68
Impact: ศึกษาโครงสร้างใหม่ในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) รับทราบผลการศึกษาโครงสร้างใหม่ในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ โดยกรอบของโครงสร้างใหม่ที่เสนอมีสาระสำคัญดังนี้
i) โรงแยกก๊าซ (GSP) จะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของก๊าซที่ถูกควบคุมโดยรัฐ (สาธารณูปโภค) ซึ่งมีกลไกในการกำหนดผลตอบแทนที่ขึ้นกับการตัดสินใจของรัฐบาล
ii) ราคาก๊าซธรรมชาติที่ออกมาจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ GSP และนำมาใช้ในการคำนวณ Pool Gas ควรมีราคาต่ำกว่าราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการกำหนดมูลค่าเพิ่มจากการขายผลิตภัณฑ์ C2+ เป็นส่วนลดในสัดส่วนที่เหมาะสม
iii) ต้นทุนก๊าซของกลุ่มปิโตรเคมีและที่ใช้ในการผลิต LPG จะอิงจากราคาก๊าซในอ่าวไทย ส่วนราคาก๊าซที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและ NGV จะอิงจากราคา Pool Gas ในขณะที่ราคาก๊าซที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมจะอิงจากราคา LNG ซึ่งในปัจจุบันสูงกว่าราคาก๊าซธรรมชาติจากพม่าและอ่าวไทย
โครงสร้างใหม่ในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลง และจะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ยังอยู่ในช่วงต้น และยังต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมอีก เนื่องจากมีผู้มีส่วนได้เสียหลายฝ่าย รวมถึงสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยด้วย ดังนั้นจึงยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน PTT ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับทางการตลอดกระบวนการนี้
คาดว่า EBITDA จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 หมื่นล้านบาทในปี 2568F
ผู้บริหารเปิดเผยว่าอุตสาหกรรมพลังงานในปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มผันผวน ในขณะที่เศรษฐกิจโลกแสดงสัญญาณถดถอยจากหลาย ๆ ปัจจัย ซึ่งรวมถึงนโยบายขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐ ที่ทำให้อุปสงค์พลังงานและน้ำมันลดลงด้วย ดังนั้น PTT จึงเตรียมแผนกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบของเศรษฐกิจขาลง โดยบริษัทมุ่งจะเพิ่ม EBITDA มากกว่า 2 หมื่นล้านบาทในปีนี้จากความริเริ่มเพื่อเพิ่มกำไรหลาย ๆ โครงการ ได้แก่
i) โครงการลดต้นทุน ซึ่งตั้งเป้าไว้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท,
ii) การแปลงสินทรัพย์เป็นเงิน (asset monetization) ประมาณ 8 พันล้านบาท,
iii) การเพิ่ม synergy ของกิจการในเครือและการรักษาระดับการผลิตที่เหมาะสม (optimization) ของสินค้าในประเทศ (โครงการ P1 & D1) ประมาณ 2-3 พันล้านบาท และ
iv) โครงการเพิ่มความเป็นเลิศของการดำเนินงาน (โครงการ Mission X) ประมาณ 1-2 พันล้านบาท
นอกจากนี้ PTT กำลังคุยอยู่กับบริษัทที่อาจจะเข้ามาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ซึ่งคาดว่าน่าจะสรุปรายชื่อ shortlist และมีความชัดเจนมากขึ้นภายในปีนี้
Valuation
เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” PTT โดยประเมินราคาเป้าหมาย SoTP ปี 2568F ที่ 34.00 บาท เราเชื่อว่าราคาหุ้นจะได้แรงหนุนจาก
i) โครงการซื้อหุ้นคืน 1.60 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นไม่เกิน 470 ล้านหุ้น (1.65% ของหุ้นทั้งหมดของ PTT) ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 23 กันยายน และ
ii) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่คาดว่าจะอยู่ในระดับน่าสนใจที่ 6.8% ในปี 2568F-2569F จากราคาหุ้นในปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรจะลดลง QoQ ใน 2Q68F เพราะ
i) ส่วนแบ่งกำไรจาก PTT Exploration and Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* จะลดลง และ
ii) จะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC TB)*, Thai Oil (TOP.BK/TOP TB) และ IRPC (IRPC.BK/IRPC TB)* หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบร่วงแรงจาก US$72.5/bbl ในเดือนมีนาคม มาอยู่ระดับต่ำกว่า US$65/bbl ในเดือนพฤษภาคม
Risk
ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ, GRM และ spread ปิโตรเคมี