บล.กรุงศรีฯ:
เก่งหลังเกมส์
SET Index ปรับขึ้น +2.99 จุด (+0.25%) ปิดที่ระดับ 1,176.36 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.4 หมื่นล้านบาท Sector ที่หนุนดัชนี คือกลุ่มพลังงาน (GULF,OR,GPSC) กลุ่มธนาคาร (KTB) กลุ่มอสังหา (AWC) ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่กดดัชนีคือ กลุ่มโรงพยาบาล (BH,BDMS) และกลุ่มประกัน (TLI) ฯลฯ
หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น
GULF +2.13%, GPSC +4.65%, AAV +1.75%,
หุ้นกลุ่มสายการบิน และโรงไฟฟ้าซึ่งมีน้ำมันและก๊าซเป็นต้นทุนปรับขึ้นตอบรับ ราคาก๊าซ -3.4% d-d และ ราคาน้ำมันดิบปรับลงอิง น้ำมันดิบ Brent -0.72%d-d ปิดที่ US$ 64.44/barrel แรงกดดันมาจาก 1.) กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันOPEC+ กำลังหารือกันว่าจะอนุมัติการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่อีกครั้งในการประชุมวันที่ 1 มิ.ย.หากมีมติเห็นชอบ ก็จะถือเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่โอเปกพลัสเดินหน้าผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคยวางแผนไว้ 2.)สหรัฐและอิหร่านใกล้บรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์
SINO +4.90%, SONIC +1.96%, LEO +5.83%, WICE +6.55%
กลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง และหุ้นเรือ Container ปรับขึ้นตอบรับ WCI ที่แนวโน้มเป็นขาขึ้น เพิ่มติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ล่าสุด +2%w-w อยู่ที่ 2276 เหรียญต่อ 40 ft
BA +5.34%
หุ้นปรับขึ้นจากมุมมองบวก จากการประกาศซื้อหุ้นคืนช่วยสร้างเสถียรภาพทางราคาหุ้นในตลาดและสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน วงเงินสูงสุดไม่เกิน 1 พันลบ. จำนวน 64 ล้านหุ้น (หรือคิดเป็น 15.6 บาท/หุ้น) เราคงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F) 23.50 บาท
OKJ +3.10%
นักวิเคราะห์ของเราออกบทวิเคราะห์วันนี้ โดยมองว่า OKJ เป็นผู้นำการเติบโตในกลุ่มร้านอาหาร โดยคาดกำไรจะเติบโต 25% yoy ในปี 2025F และโตเฉลี่ย 17% CAGR ช่วงปี 2025-2027F หนุนจากการขยายสาขาเชิงรุกและมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น การปรับตัวลงของราคาหุ้นล่าสุดสะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มกำไร ซึ่งราคาปัจจุบันสะท้อนว่าตลาดคาดกำไรปี 2025F จะหดตัว yoy (เทียบเท่ากับคาด SSSG ติดลบมากกว่า 20%) อย่างไรก็ตาม OKJ รายงานกำไร 1Q25 โต 49% yoy และยังคงได้ประโยชน์จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เราจึงเชื่อว่าความกังวลเหล่านี้สะท้อนอยู่ในราคาแล้ว โดยปัจจุบันหุ้นซื้อขายที่ระดับ PER เพียง 16 เท่า และ PEG เพียง 0.6 เท่า ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 8.20 บาท
SAPPE +2.36%
นักวิเคราะห์ของออกบทวิเคราะห์วันนี้ โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 53% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว และชอบแนวโน้มการฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเติบโตของรายได้กลับมาเมื่อเทียบกับการลดลงของรายได้ -35% ในครึ่งแรกของปี 2025 มูลค่าหุ้นปัจจุบันยังไม่แพง โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรปี 2026 อยู่ที่ 9.8 เท่า.