Daily Focus: ทรัมป์ชะลอภาษี EU 50% // จับตาส่งออกไทยเดือน เม.ย.

ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบค่อนข้างแคบเนื่องจากขาดปัจจัยใหม่หนุน โดยดัชนีปิดบวกได้เล็กน้อย 2.99 จุด ที่ระดับ 1,176.36 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.5 หมื่นลบ. กลุ่มพลังงานหนุนตลาด ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมี การแพทย์ ถ่วง
สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้น 1.2 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1.7 พันลบ. (สถานะสุทธิใน Index Futures ทรงตัวไม่มีนัยยะ)

แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,170–1,185 จุด โดยตลาดยังรอติดตามพัฒนาการข่าวทั้งด้านการค้า ล่าสุดทรัมป์ประกาศเลื่อนเก็บภาษีศุลกากร 50% จาก EU เป็นวันที่ 9 ก.ค. จากเดิมที่ประกาศ 1 มิ.ย. ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดฟิวเจอร์สสหรัฐฯ ฟื้นตัว ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวกได้อ่อนๆ ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามวันนี้คือตัวเลขส่งออกไทยเดือน เม.ย. ตลาดคาดเติบโต 9.1% y-y ชะลอลงจาก 1Q25 ที่เติบโตสูงถึงราว 16% จากการเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีของทรัมป์ นอกจากนี้สภาฯ จะมีการพิจารณาร่างงบประมาณปี 69 วาระแรกวันที่ 28–30 พ.ค. ส่วนปัจจัยต่างประเทศมีตัวเลขสำคัญช่วงปลายสัปดาห์ ได้แก่ GDP 1Q25 (2nd Est) ของสหรัฐ และเงินเฟ้อ PCE เดือน เม.ย. ภาพรวมเราประเมินว่าการฟื้นตัวของ SET Index จะยังจำกัดเนื่องจากขาดปัจจัยหนุนใหม่ ขณะที่ความกังวลหลังยังคงอยู่ที่แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวใน 2Q25–2H25 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการทยอยปรับลดประมาณการ EPS ลงจากปัจจุบันที่ราว 90 บาท ภาพรวมยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า Upside ดัชนีเหนือระดับ 1,200 จุด ยังค่อนข้างจำกัด จึงยังเน้นเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรแข็งแกร่งและมั่นคง โดยเฉพาะสินค้าบริการจำเป็นที่ราคายัง Laggard มีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้ดีกว่าตลาด

กลยุทธ์: ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q25–2025 แข็งแกร่ง โดยเน้นกลุ่มสินค้าและบริการจำเป็นท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและไม่แน่นอน

หุ้นเด่นเดือน พ.ค.: CPALL, MTC, NSL, OSP, PR9

FSSIA Portfolio: BA, BTG, CPALL, KBANK, MTC, NSL, PR9, STECON

หุ้นเด่น Finansia 26 พ.ค. 25 : GPSC

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท
  • จากผลประกอบการ 1Q25 ที่ดีกว่าคาด และคาดอัตราค่าไฟฟ้าปี 2025 เฉลี่ยอยู่ที่ 4 บาท/หน่วย ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานของเราของปี 2025 ที่ 3.76 บาท/หน่วย และคาดแนวโน้มค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปี 2026-27 น่าจะใกล้เคียงกับปี 2025 
  • เราจึงปรับเพิ่มสมมติฐานค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ ทำให้ประมาณการกำไรปี 2025-27 ปรับขึ้นเฉลี่ย 30% เป็นเติบโต 17%/13%/10% y-yตามลำดับ 
  • แนวรับ 32.25-32 บาท แนวต้าน 35//35.75 บาท

Fund Flow: เมื่อวันศุกร์ กระแสเงินทุนต่างชาติในภูมิภาคผสมผสาน สุทธิแล้วไหลออกบางๆ US$80 ล้าน เม็ดเงินไหลออกจากไต้หวันและเกาหลีใต้ประเทศละ US$64–103 ล้าน แต่ไหลเข้าอาเซียนนำโดยไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$36–54 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะผสมผสาน โดยภาพรวมยังไร้ปัจจัยใหม่ ตลาดยังติดตามพัฒนาการการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ต่อเนื่อง

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) STECON: บริษัทคงเป้ารายได้ปีนี้ 3.2 หมื่นลบ. (+7% y-y) โดยโมเมนตัม 2Q–4Q25 คาดเร่งขึ้น q-q ทุกไตรมาส ส่วน GPM คงเป้ากรอบ 7% Backlog ปัจจุบัน 1.25 แสนลบ. และบริษัทยังมั่นใจบรรลุเป้ารับงานใหม่ปีนี้ 5 หมื่นลบ. โดย YTD มีงานใหม่แล้ว 1.8 หมื่นลบ. และ 2H25 คาดภาครัฐผลักดันงานประมูลมากขึ้น อาทิ รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง รวมถึงมีศักยภาพในงานโรงไฟฟ้า Solar อีกทั้งมี Upside จากการเคลมประกันค่าซ่อมอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน คาดเสร็จสิ้นและได้รับเงินใน 2Q–3Q25 ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2025 เป็น 934 ลบ. (พลิกจากขาดทุนในปี 2024 ที่ -2.4 พันลบ.) สะท้อนปรับเพิ่ม GPM และไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนรถไฟฟ้าชมพู–เหลืองตั้งแต่ 2Q25 ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 9.50 บ. ยังแนะนำ “ซื้อ”

(-) STA: แนวโน้มปริมาณขาย 2Q25 อาจปรับลงทั้ง q-q และอาจลง y-y ด้วยจากการชะลอของลูกค้าเพื่อประเมินผลกระทบของ tariff ราคาขายในช่วง 2Q25 ยังใกล้เคียง q-q แต่ราคา Sicom ที่ปรับลงนับตั้งแต่ Trump ประกาศ tariff ตอนต้นเดือน เม.ย. ล่าสุดลงมาอยู่ที่ 165–175 เซนต์/กก. คาดจะกระทบราคาขายของ STA ใน 3Q25 เป็นต้นไป ปรับลดประมาณการกำไรปี 2025 ลง 8% เป็นเติบโต 7% y-y และได้ราคาเป้าหมายใหม่ 17 บาท และลดคำแนะนำเป็น “ถือ” รอจนกว่าคำสั่งซื้อจะกลับมาฟื้นตัว

(-) STGT: ระยะสั้น แนวโน้มปริมาณขายถุงมือจะอ่อนลง q-q แต่ยังโต y-y หลังลูกค้าทั้ง US และ Non-US เข้าสู่โหมด wait-and-see เพื่อรอดูความชัดเจนเรื่อง tariff ขณะที่บริษัทอาจปรับลดราคาขายเพื่อรักษาระดับ U rate ซึ่งราคาขายอาจปรับลงมากกว่าต้นทุนที่ปรับลง จึงคาดจะเห็นการอ่อนลงทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q25 ส่วนแนวโน้ม 2H25 ยังต้องติดตามประเด็น tariff ต่อไป ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าปริมาณขายถุงมือยางปี 2025 ตามเดิมที่ 42,000 ล้านชิ้น โดยคาดปริมาณขาย 1H25 จะคิดเป็น 43% ของเป้าขายทั้งปี

(-) ตลาดดาวโจนส์: ลดลง 256.02 จุด หรือ -0.61%, ปิดที่ 41,603.07 จุด ปิดลดลงในวันศุกร์ (23 พ.ค.) และติดลบในรอบสัปดาห์นี้ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปในอัตราสูงถึง 50% ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนครั้งใหม่เกี่ยวกับสงครามการค้าโลก และกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน

(-) ตลาดหุ้นยุโรป: ปิดร่วงลงในวันศุกร์ (23 พ.ค.) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป (EU) และบริษัทสมาร์ตโฟนรายใหญ่อย่างแอปเปิล (Apple) ซึ่งจุดกระแสความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลกอีกครั้ง

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย: เปิดบวก หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเลื่อน deadline การใช้ภาษีสินค้าจากยุโรปออกไปเป็นวันที่ 9 ก.ค.

(+) ค่าเงินบาท: แข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.96%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX: เพิ่มขึ้น 33 เซนต์ หรือ 0.54% ปิดที่ 61.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (23 พ.ค.) หลังผู้ซื้อในสหรัฐฯ เร่งปิดสถานะก่อนวันหยุดยาวสุดสัปดาห์นี้เนื่องในวันเมโมเรียลเดย์ (Memorial Day) ในวันจันทร์ (26 พ.ค.) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาด้านนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านรอบล่าสุด เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 61.81 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.46%

(+) ราคาทองคำ COMEX: พุ่งขึ้น 70.80 ดอลลาร์ หรือ 2.15% ปิดที่ 3,365.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับขึ้นมากกว่า 2% ในวันศุกร์ (23 พ.ค.) และปิดตลาดสัปดาห์นี้ด้วยการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขู่ขึ้นภาษีนำเข้าอีกครั้ง และเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,363.50 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.91%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 922.46 / -0.15%

- Advertisement -