เดินหน้าสานต่อภารกิจสร้างสุขภาพระดับโลกไทยดูไบ! BDMS Wellness Clinic นำโดย “คุณหมอแอมป์” ชูแนวคิด Wellness Hub Thailand บนเวทีสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เดินหน้าสานต่อภารกิจสร้างสุขภาพระดับโลกไทยดูไบ! นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติจาก สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมบรรยายถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ภายใต้หัวข้อ “Wellness Hub Thailand: The Future of Global Wellness” มุ่งเน้นการสร้างสุขภาพที่ดีระดับโลก สอดคล้องกับแผน Dubai Health Strategy 2026 ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปักหมุดประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการส่งเสริมสุขภาพระดับสากล โดยได้รับเกียรติจากนางสาวนิภา นิรันดร์นุต กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้การต้อนรับ พร้อมแขกผู้มีเกียรติจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าร่วมงาน

ไม่ใช่แค่ร่ำรวยเงินทอง แต่ต้องร่ำรวยสุขภาพด้วย ความเชื่อมโยงระหว่างนโยบาย Dubai Health Strategy 2026 และวิสัยทัศน์ด้านการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Hub Thailand ของคุณหมอแอมป์  

เมื่อกล่าวถึงประเทศที่เปี่ยมด้วยความมั่งคั่งและศักยภาพทางเศรษฐกิจอันแข็งแกร่ง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเฉพาะเมืองดูไบ ย่อมเป็นหนึ่งในชื่อแรกที่หลายคนนึกถึง อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจแล้ว ดูไบยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสุขภาพองค์รวมของประชากรภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านการกำหนดวิสัยทัศน์ด้านสุขภาพในระยะยาว ภายใต้แผนยุทธศาสตร์สำคัญอย่าง Dubai Health Strategy 2026 ซึ่งประกอบไปด้วย 4 เสาหลัก ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพและวิถีชีวิตของประชาชน การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของบริการสุขภาพ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ในการดูแลสุขภาพ และ การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยนโยบายดังกล่าวมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ด้านการมุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “Wellness Hub” ระดับโลก  โดยเน้นการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพระดับสากล ผสานกับนวัตกรรมทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชากรโลกในอนาคต

ด้วยวิสัยทัศน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพที่สอดคล้องกันนี้ นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ จึงได้รับเกียรติจากสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าร่วมบรรยายในงานสัมมนาด้านสุขภาพ ภายใต้หัวข้อ “Wellness Hub Thailand: The Future of Global Wellness” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และวิสัยทัศน์ด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในบริบทระดับโลก โดยคุณหมอแอมป์ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Hub Thailand หรือ ศูนย์กลางสุขภาพเชิงป้องกันและการดูแลแบบองค์รวมระดับสากล ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ ในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับประชากรในระดับนานาชาติ โดยมี นางสาวนิภา นิรันดร์นุต กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน

ชีวิตยืนยาวอาจไม่ใช่คำตอบของสุขภาพที่แท้จริง? ชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เผชิญความท้าทายด้านสุขภาพ เมื่อช่องว่างระหว่าง “อายุขัย” และ “อายุของการมีสุขภาพดี” ห่างกันถึง 10 ปี

หากกล่าวถึงการมีอายุยืนยาว คงเป็นเป้าหมายที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน การแพทย์ยุคใหม่จึงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อยืดอายุขัยของประชากรโลก ผ่านการรักษาที่แม่นยำ การเข้าถึงบริการทางสุขภาพที่มีคุณภาพ ตลอดจนเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว โดยข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2543 ถึง พ.ศ. 2562 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลก (Lifespan) เพิ่มขึ้นจาก 66.8 ปี เป็น 73.4 ปี หรือเพิ่มขึ้นถึง 6.6 ปี ซึ่งเป็นผลสะท้อนถึงความก้าวหน้าในการดูแลรักษาโรคและการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวอาจไม่ได้สะท้อน “คุณภาพของชีวิตที่ยืนยาว” ได้อย่างแท้จริง เนื่องจากค่าเฉลี่ยของช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี (Health Span) หรือช่วงเวลาที่บุคคลสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพโดยไม่เจ็บป่วยหรือมีข้อจำกัดด้านสุขภาพ กลับอยู่ที่เพียง 63.7 ปี เท่านั้น ซึ่งชี้ให้เห็นถึง “ช่องว่างระหว่างอายุขัยกับสุขภาพที่แท้จริง” ที่กำลังกลายเป็นความท้าทายสำคัญของระบบสุขภาพทั่วโลก

สำหรับประชากรในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เองก็ได้กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านสุขภาพในสถานการณ์นี้เช่นเดียวกัน เมื่องานวิจัยได้เผยว่าประชากรในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีค่าเฉลี่ยอายุไขที่สวนทางกับค่าเฉลี่ยของช่วยอายุที่มีสุขภาพดีมากถึง 10 ปี โดยพบว่าแม้ประชากรในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะมีอายุขัยเฉลี่ยที่น่าพึงพอใจอยู่ที่ 76.1 ปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนถึงพัฒนาการด้านการแพทย์และการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพที่ดีขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่ข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดกลับชี้ให้เห็นว่า ช่วงเวลาของการมีสุขภาพดี หรือ Health Span ของประชากรในประเทศ กลับอยู่ที่เพียง 66 ปี เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าประชากรส่วนใหญ่จะต้องเผชิญกับภาวะเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ หรือภาวะเสื่อมถอยของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เป็นระยะเวลานานถึงทศวรรษก่อนเสียชีวิต

“สถานการณ์นี้ได้กลายมาเป็นหนึ่งในความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในภูมิภาค และกำลังผลักดันให้หลายภาคส่วนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) มากยิ่งขึ้น แทนที่จะเน้นเพียงการดูแลสุขภาพเมื่อเจ็บป่วยหรือเกิดปัญหาแล้ว (Reactive Healthcare) เท่านั้น

แนวคิดใหม่อย่าง Scientific Wellness จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์อนาคต โดยเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสุขภาพที่แม่นยำ เป้าหมายของเราวันนี้จึงไม่ใช่แค่การทำให้ผู้คน ‘มีชีวิตที่ยืนยาว’ แต่คือการทำให้พวกเขา ‘มีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ’” นายแพทย์ตนุพล กล่าวเพิ่มเติม

วิจัยชี้! ชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กว่า 77% เผชิญโรค NCDs และมีประชากรกว่า 6.9 ล้านคนเผชิญกับ “ภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน”

ในยุคที่ประชากรโลกกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” อย่างเต็มรูปแบบ ปัญหาด้านสุขภาพก็ทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable Diseases) ซึ่งกลายเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชากรทั่วโลกในศตวรรษนี้ โดย ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2022 ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั่วโลกมากกว่า 45 ล้านคน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการดูแลสุขภาพเชิงรับ มาเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น

สำหรับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปัญหา NCDs ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องให้ความสำคัญ โดยมีสถิติระบุว่าประชากรกว่า 77% ของประเทศเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คิดเป็นจำนวนสูงถึง 16,100 รายต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 2 รายต่อชั่วโมง โดยมีสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และ โรคเบาหวานในปี 2022 นอกจากนี้จากสถิติขององค์การอนามัยยังได้เผยว่าประชากรกว่า 6,966,723 ราย (จากประชากรทั้งหมด 9,771,00 ราย) หรือกว่า 71.3% ของประชากรทั้งหมดกำลังประสบกับภาวะ “อ้วน” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการมีสุขภาพดีในระยะยาว อีกทั้งยังมีอัตราเสี่ยงที่สูงกว่าคนทั่วไปในการเกิดอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อโลกของเราต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรคต่าง ๆ เช่น การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งข้อมูลวิจัยพบว่า ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2 เท่า ผู้ป่วยโรคหัวใจหรือเบาหวานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3 เท่า ผู้ที่เคยมีโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ในขณะที่ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไปถึง 7 เท่า

“คุณหมอแอมป์” นำทีมไทย ดัน Wellness Hub Thailand เชื่อม Soft Power – เทคโนโลยี – ภูมิปัญญาไทย ดันไทยสู่จุดหมายปลายทางด้านสุขภาพระดับโลก

การเยือนสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ของ นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ “คุณหมอแอมป์” ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเชื่อมสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก โดยเป็นการส่งต่อวิสัยทัศน์ด้านสุขภาพเชิงนวัตกรรม พร้อมทั้งขยายโอกาสในการนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางด้าน Wellness ระดับนานาชาติภายใต้ความเชื่อมั่นของคุณหมอแอมป์ต่อศักยภาพที่หลากหลายของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ภูมิประเทศที่สวยงาม ซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ทั้งทะเลที่งดงาม ภูเขาเขียวชอุ่ม หรือสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่เอื้อต่อการพักผ่อนและฟื้นฟูสุขภาพ ไปจนถึง อาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ ทั้งในด้านรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนความเชี่ยวชาญของไทยในด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะศาสตร์นวดแผนไทย และ สปาไทย ที่กลายเป็นหนึ่งใน Soft Power ด้านสุขภาพอันทรงพลังของประเทศ ด้วยอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่ผสานภูมิปัญญาโบราณเข้ากับการบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกโดยเฉพาะผู้ที่แสวงหาการผ่อนคลายและฟื้นฟูสุขภาพทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ

 นอกจากนี้ ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย และการมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง เป็นปัจจัยสำคัญที่ยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการให้บริการด้านสุขภาพในระดับสากล

“ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ประเทศไทยจึงมีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็น Wellness Hub ระดับโลก ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมแก่ผู้มาเยือน แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในด้านการดูแลสุขภาพ การส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน และการมอบโอกาสในการมีสุขภาพที่ดีอย่างยาวนานแก่ผู้คนทั่วโลกด้วย นายแพทย์ตนุพล กล่าวทิ้งท้าย

- Advertisement -