Daily Focus: ลุ้นฟื้นตัวระยะสั้น จับตาแนวต้าน 1,160 จุด
ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ ถูกกดดันหลังศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ระงับคำตัดสินของศาลการค้า ทำให้ทรัมป์ยังเดินหน้าเก็บภาษีได้ต่อในระยะสั้น รวมถึงผลจาก MSCI Rebalance ส่งผลให้ดัชนีปิดลบถึง 14.83 จุด ที่ระดับ 1,149.18 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่สูงถึง 7.3 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 4.7 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.1 หมื่นลบ. (และ Short Index Futures อีกถึง 1.5 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาด SET Index จะแกว่งฟื้นตัวในแดนบวกตามตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีแนวต้านรอทดสอบที่ 1,160 จุด หลังผ่านพ้นแรงขายจาก MSCI Rebalance รวมถึงได้แรงหนุนจากตัวเลข Job Openings สหรัฐฯ เดือน เม.ย. ที่ดีกว่าคาด ขณะที่ประเด็นกังวลยังอยู่ที่พัฒนาการด้านการค้า โดยภาษีเหล็กและอลูมิเนียมที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นเป็น 50% จะมีผลพุธที่ 4 มิ.ย. ตามเวลาสหรัฐฯ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข่าวที่ทรัมป์และสี จิ้นผิง เตรียมต่อสายหารือในเร็วๆ นี้ โดยหากโทนเป็นบวกจะทำให้บรรยากาศการลงทุนผ่อนคลายขึ้นและหนุนสินทรัพย์เสี่ยงฟื้น ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอยู่ช่วงปลายสัปดาห์คือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน พ.ค. (ตลาดคาดชะลอตัวเหลือ 1.3 แสนตำแหน่ง) ส่วนในประเทศติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ค. (ตลาดคาด Headline -0.83% y-y Core +0.98% y-y) ส่วนงบประมาณปี 69 วาระแรก ผ่านการพิจารณาและลงมติเรียบร้อยแล้ว ถัดจากนี้ติดตามพัฒนาการโดยเฉพาะประเด็นการปรับ ครม. เรายังคงประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยโดยรวมยังคงขาดปัจจัยบวกใหม่ที่ชัดเจน และยังมีประเด็นกังวลจากทั้งผลกระทบจากภาษีทรัมป์ รวมถึงโมเมนตัมเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอ โดยต้องติดตามว่ารัฐบาลจะมีการออกมาตรการกระตุ้นใดออกมาช่วยพยุงบ้างในช่วง มิ.ย.–3Q25
กลยุทธ์: ยังเน้นเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q25–2025 แข็งแกร่งและมีความแน่นอนของกำไรสูง โดยเน้นกลุ่มสินค้าและบริการจำเป็นท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและไม่แน่นอน
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย.: CPALL, MTC, OSP, SJWD, STECON
FSSIA Portfolio: BA, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่น Finansia 4 มิ.ย. 25 : ADVANC
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus ที่ 317.65 บาท
- แนวโน้มกำไร 2Q25-2H25 คาดยังแข็งแรงต่อเนื่องหนุนจากทั้งฝั่งรายได้ที่คาดว่ายังเติบโตแข็งแรง ขณะที่ต้นทุนไม่มีแรงกดดันเพิ่มเติมหลังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เหมือนช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รวมถึงภาพการแข่งขันที่เบาลง
- ส่วนการประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่เราคาดว่าจะไม่แพงเท่าในอดีต ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ระยะยาวลดลงและเป็นบวกต่อกำไรสุทธิ ประมาณการกำไรปี 2025 ของ Consensus ล่าสุดอยู่ที่ 4-4.1 หมื่นลบ. +16% y-y
- แนวรับ 285//276 บาท แนวต้าน 296-300 บาท
Fund Flow: ช่วงวันศุกร์–อังคารที่ผ่านมา กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคสุทธิหนาแน่นถึง US$3,083 ล้าน โดยกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$2,236 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ไหลออก US$349 ล้าน ขณะที่ฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกทุกประเทศ ประเทศละราว US$217–328 ล้าน โดยสูงสุดที่ไทย ขณะที่เวียดนามไหลออกบางๆ US$17 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีโอกาสพลิกมาไหลเข้า หลังตัวเลข Job Openings เดือน เม.ย. ของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงตลาดรอติดตามพัฒนาการการค้า โดยเฉพาะรายงานว่าทรัมป์ และสี จิ้นผิง เตรียมต่อสายหารือในเร็วๆ นี้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) TISCO เรายังคงคาดว่า TISCO จะสามารถรักษาเงินปันผลต่อหุ้นไว้ที่ 7.75 บาทในปี 2025 บนประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 6.5 พันลบ. คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 95% แม้มีต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อสูงขึ้น แต่ TISCO ยังคงกลยุทธ์ในการป้องกันหนี้ด้อยคุณภาพและปกป้องคุณภาพสินทรัพย์มากกว่าการขยายการเติบโตของสินเชื่อรถยนต์ เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ลง 2% เป็น 6.5 พันลบ. (-6% y-y) คงราคาเป้าหมาย 95 บาท ยังแนะนำ “ถือ”
(0) NEO เราคาดรายได้รวม 2Q25 ยังเติบโตต่อเนื่องทั้ง q-q และ y-y แม้กำลังซื้อไม่สดใส แต่คาดในประเทศยังโตได้ หลังออกสินค้าใหม่และทำโปรโมชั่น กอปรกับปัญหา distributor เวียดนามคลี่คลายและได้รายใหม่ช่วยกระจายสินค้าแบรนด์ Fineline ผ่าน Modern trade ตั้งแต่ 2Q25 เป็นต้นไป ผู้บริหารยังตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 7–8% y-y หนุนจากการเติบโตในประเทศ high single-digit และส่งออก double-digit และเป้าอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 41–43% ลดลงจากปีก่อนเพราะจะเริ่มรับรู้ค่าเสื่อมโรงงานใหม่ใน 2Q25 เต็มไตรมาส คาดแนวโน้มราคาวัตถุดิบจะทยอยปรับลงตามราคาน้ำมันปาล์มดิบ อาจเห็นอัตรากำไรขั้นต้นกลับมาฟื้นใน 2H25 แต่ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ PE เพียง 8.5x และคาด dividend yield 5% คงเป้า 49.50 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) MAGURO แม้ 2QTD SSSG ยังคงติดลบ 7–8% แต่เราคาดว่าการเติบโตจะมาจากการเปิดสาขาใหม่ที่จะหนุนรายได้ 2Q25 เพิ่มขึ้น 30–40% และอัตรากำไรขั้นต้นยังคงแข็งแกร่งชดเชยกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เบื้องต้นเราคาดกำไร 2Q25 เพิ่มขึ้น q-q และจะโต y-y อย่างมีนัยสำคัญ จากฐานต่ำปีก่อน บริษัทเตรียมเปิด 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ BINCHO เป็นแบรนด์บริษัทเอง เป็นเซตอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับที่ถูกย่างด้วยเตาถ่าน จะเปิดสาขาแรกที่ Mega Bangna เดือน ก.ค. และอีก 1 แบรนด์ใหม่เป็นร้าน franchise จากญี่ปุ่น จะเปิดในเดือน ส.ค. โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่รวมในปี 2025 ที่ 15 สาขา ภายใต้ภาวะกำลังซื้อที่อ่อนแอ ปัจจัยหนุนการโตในปีนี้ของบริษัทจะมาจากการเปิดสาขาใหม่ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น หลังราคาวัตถุดิบแซลมอนและเนื้อวากิวปรับลดลง คงประมาณการกำไร +36% y-y และราคาเป้าหมาย 24.50 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 214.16 จุด หรือ +0.51%, ปิดที่ 42,519.64 จุด
(+) S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มชิป โดยเฉพาะ Nvidia
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย ท่ามกลางแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และความกังวลด้านการค้าระหว่างประเทศ
(+) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวก นำโดยหุ้น Nvidia
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่บริเวณ 32.66 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.40%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ +1.42% ปิดที่ 63.41 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเช้านี้ลดลงเล็กน้อย -0.05%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 20.10 ดอลลาร์ หรือ -0.59% ปิดที่ 3,377.10 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเช้านี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย +0.22% ที่ระดับ 3,384.50 ดอลลาร์/ออนซ์
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 935.65 / 0.59%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
4 มิ.ย. | สหรัฐ: ISM Services PMI (พ.ค.) แคนนาดา: BoC Meeting |
5 มิ.ย. | ไทย: เงินเฟ้อ (พ.ค.) ยูโรโซน: ECB Meeting |
6 มิ.ย. | สหรัฐ: Non-Farm Payrolls (พ.ค.) |
9 มิ.ย. | จีน: ส่งออก (พ.ค.), ส่งออก (พ.ค.) |