KS Daily View 04.06.2025 >>> มอง SET แกว่งตัวขึ้น หลังรับรู้ปัจจัยลบภาษีนำเข้า 36% ไปแล้ว กรอบ SET Index วันนี้ 1,160-1,190 แนะนำ TIDLOR และ GULF

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้: ในสัปดาห์นี้เรามองว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเมินกรอบของSET Index ไว้ที่ 1,160-1,190 หลังจากเผชิญความผันผวนจากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ยังอยู่ในการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ และประธานาธิบดีทรัมป์อาจพิจารณากลไกทางกฎหมายทางเลือกในการเรียกเก็บภาษีนำเข้า เช่น มาตรา 122 ในการจัดการกับปัญหาขาดดุลดุลการชำระเงิน และ มาตรา 301 เพื่อตอบโต้การค้าที่ไม่เป็นธรรม และมาตราอื่นๆ ที่อาจขยายขอบเขตไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่าง เซมิคอนดักเตอร์ หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดคือกลับไปจุดเดิมของการเก็บ reciprocal tariff กับประเทศไทยอาจสูงถึง 36% ได้รวมอยู่ในประมาณการทางเศรษฐกิจปัจจุบันของเราไปแล้ว โดยคาดการณ์ GDP ปี 2025 ที่ 1.4% และกำไรต่อหุ้นของตลาดอยู่ที่ 88 บาท มองว่าหากอัตราภาษีจริงที่กำหนดออกมาต่ำกว่า 36% มองว่าอาจหนุนให้ ตลาดจะมีการ re-rate PER ของ SET Index ในปี 2025 จะขยับขึ้นใกล้ระดับ -0.5 SD หรือประมาณ 14.5 เท่า คิดเป็นประมาณ 1,275 จุดแต่ เราไม่คาดว่าจะมีอัพไซด์ต่อ EPS ปี 2025 เนื่องจากความต้องการส่งออกส่วนใหญ่มีแนวโน้มถูกเร่งล่วงหน้าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษี ดังนั้น ผลเชิงบวกต่อกำไรจากอัตราภาษีที่ต่ำกว่าคาดมีแนวโน้มที่จะสะท้อนให้เห็นในปี 2026 มากกว่า

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,149.18 จุด ปรับตัวลดลง 2.31% จากสัปดาห์ที่ผ่านมากดดันโดยการปรับลดลงของกลุ่มบริการเฉพาะกิจ พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์และธนาคาร ในวันนี้เราประเมินว่าตลาดมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้น sideways up อยู่ในกรอบ 1,150–1,165 จุด หลังจากรับรู้ปัจจัยเชิงลบ reciprocal tariff ในอัตรา 36% ไปแล้วบางส่วนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มภาษีอาจปรับตัวต่ำกว่าระดับนี้ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล แนะนำ TIDLOR และ GULF

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

รายงานจากสำนักงานอีอีซีเปิดเผยความคืบหน้า 2 เมกะโปรเจ็กต์ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินยังไม่สามารถเข้าสู่การพิจารณาแก้ไขสัญญาในที่ประชุมบอร์ดอีอีซีวันที่ 5 มิ.ย.นี้ เนื่องจากสำนักงานอัยการสูงสุดยังตรวจถ้อยคำในร่างสัญญายังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ต้องเลื่อนไปเดือน ก.ค. และคาดว่างานก่อสร้างจะเริ่มได้ในปลายปีนี้ มองเป็นลบเล็กน้อยกับ STECON

ติดตาม ในวันที่ 4 มิ.ย. นี้กระทรวงการคลังจะมีการนำเสนอแผนโครงการ “THAILAND ENTERTAINMENT COMPLEX” พร้อมทั้งรายละเอียดเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจในอนาคต มองเป็นบวกกับกลุ่มท่องเที่ยวอย่างCENTEL AWC ERW BA AAV

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา OPEC+ มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนก.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นในปริมาณเท่าเดิมต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ในขณะเดียวกันเกิดไฟป่าในรัฐแอลเบอร์ตาที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญของแคนาดาได้ส่งผลให้การผลิตน้ำมันดิบโดยรวมของประเทศ ลดลงไปประมาณ 7% หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น เป็นบวกกับ PTTEP, TOP, SPRC และ BCP

สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ส่งร่างหนังสือเตือนไปยังประเทศคู่ค้า ระบุว่ารัฐบาลทรัมป์จะเดินหน้านโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อไป แม้ถูกศาลตัดสินให้ระงับ โดยอ้างอำนาจทางกฎหมายอื่น ๆ ที่ยังมีอยู่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ยื่นข้อเสนอการค้าภายในวันที่ 4 มิถุนายน ครอบคลุมภาษี โควตาการนำเข้า และการค้าดิจิทัล เพื่อเร่งให้ได้ข้อตกลงก่อนเส้นตาย 8 กรกฎาคมนี้ มองเป็นจิตวิทยาเชิงลบเล็กน้อยกับกลุ่มส่งออก

จีนจำกัดการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็กตั้งแต่เดือนเมษายน สร้างความวิตกในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก รวมถึงเยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ เนื่องจากเสี่ยงทำให้การผลิตหยุดชะงักในฤดูร้อนนี้ มาตรการของจีนถูกมองว่าเป็นการตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ หลายประเทศจึงเร่งเจรจาขอผ่อนปรนจากจีนเพื่อรักษาห่วงโซ่อุปทาน มองเป็นจิตวิทยาเชิงลบกับ KCE, STA, และ TEGH

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

TIDLOR: ราคาพื้นฐาน 19.75 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR ที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียน ด้วยปัจจัยหนุนหลัก 4 ด้าน จาก 1)สินเชื่อเติบโตเร่งตัวบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อปี 2568 ไม่น้อยกว่า 6% ซึ่งสูงกว่าปี 2567 และอยู่ในกรอบเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ที่ 5–10% 2)ต้นทุนทางการเงินผ่านจุดสูงสุด คาดว่าต้นทุนทางการเงินจะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 3Q68 ก่อนเริ่มปรับตัวลดลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่อนคลาย และมีแนวโน้มทรงตัวในปี 2569 อีกทั้ง TRIS Rating ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตของ TIDLOR จาก A เป็น A+ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเงินได้ราว 30–50bps ภายใน 6 เดือนข้างหน้า 3) ต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิตลดลงต่อเนื่องคาดว่าcredit cost จะต่ำกว่า 3% ตลอดปี จากการบริหารการติดตามหนี้ที่ดีขึ้น และผลจากการตัดหนี้สูญจำนวนมากในปีก่อน ซึ่งอาจสร้าง upside ต่อประมาณการกำไรได้อีก 2–5% และ 4)การขาดทุนจากการขายรถยึดลดลงจากการฟื้นตัวของราคาขายรถมือสองช่วยลดการขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ยึด ส่งผลให้ต้นทุนต่อรายได้ปรับดีขึ้นกว่าคาด

GULF: ราคาพื้นฐาน 61.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น GULF จากโครงสร้างธุรกิจที่มีความมั่นคงและป้องกันความเสี่ยงได้ดี โดยเราประเมินว่าGULF แทบไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร เนื่องจาก 92% ของรายได้มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ.80% จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 3% จากพลังงานหมุนเวียน 9% จากธุรกิจ LNGความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (regulatory risk) อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่น เพราะมีเพียง 6% ของรายได้เท่านั้นที่มาจากโรงไฟฟ้า SPP ซึ่งขายไฟให้ภาคอุตสาหกรรม GULF ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2568 ที่ระดับ 25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 4 ด้าน รับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าใหม่ หน่วยที่ 3 และ 4 ของโครงการ GPD, โรงไฟฟ้า HKP โรงไฟฟ้าใหม่ที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2568 หน่วยที่ 2 ของ HKP (770MW เริ่ม ม.ค. 2568) โครงการโซลาร์เพิ่มเติมราว 707MW (รวมโซลาร์ฟาร์ม, โซลาร์+BESS และโซลาร์รูฟท็อป) คาด COD ภายในสิ้นปี นอกจากนี้รายได้จากเงินลงทุนใน ADVANC คาดรับรู้กำไรจาก ADVANC ประมาณ 1.0–1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 และจะเพิ่มเป็น 1.5–1.8 หมื่นล้านบาท ต่อปีตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป และสถานะเครดิตของ GULF ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ อันดับเครดิตเพิ่มขึ้นจาก A+ เป็น AA- ด้วยภายหลัง amalgamation

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธ ติดตามตัวเลขผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของไทย (TH S&P Global Manufacturing PMI) เดือน พ.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 49.5 จุด ต่อด้วย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของสหรัฐ (ISM Services PMI) เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 50.2 จุดปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 51.6 จุด
  • วันพฤหัสบดี ติดตามตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของจีน (Caixin Services PMI) เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 51.1 จุดปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 50.7 จุด ต่อด้วยผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรปในเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps จากครั้งก่อนหน้า ปิดท้ายด้วยจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคาดการณ์ที่ 2.35 แสนตำแหน่งเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.40 แสนตำแหน่ง
  • วันศุกร์ ติดตามรายงานตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานของไทย (TH CPI) เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ -0.83% YoY ชะลอจากเดือนก่อนหน้าที่ -0.22% YoY และตัวเลขเงินเฟื้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (TH Core CPI)เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +0.95% YoY ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +0.98% YoY ต่อด้วยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่รายงาน การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm payrolls) เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.30 แสนตำแหน่งชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.77 แสนตำแหน่ง ต่อด้วยตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) เดือน พ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.2% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า
- Advertisement -