PROSPECT REIT ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมและนักลงทุนรายย่อยจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมคึกคัก เดินหน้าลงทุนเพิ่มเติมทรัพย์สินใหม่ คาดเพิ่มผลตอบแทนปีแรกเป็น 0.87 บาทต่อหน่วย
PROSPECT REIT โชว์ผลตอบรับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่ได้รับสิทธิและประชาชนทั่วไปตอบรับจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมอย่างคึกคัก รวมถึงนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการจองซื้อเป็นจำนวนมาก ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากนักลงทุน เดินหน้าเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าอาคารคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูปภายในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 1 โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 2 และโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 3 ย่านบางนา-ตราด และเทพารักษ์ มูลค่าลงทุนรวม 3,210 ล้านบาท คาดเพิ่มประมาณการผลตอบแทนปีแรกเป็น 0.87 บาทต่อหน่วย และคาดว่าจะนำหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 9 มิถุนายนนี้
นายคมกฤต รักษากุลเกียรติ หัวหน้าวาณิชธนกิจ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล หรือPROSPECT REIT ซึ่งเป็นกองทรัสต์ชั้นนำที่ลงทุนในทรัพย์สินกลุ่มอุตสาหกรรม เปิดให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่ได้รับสิทธิและประชาชนทั่วไปจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมเมื่อวันที่ 19 – 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย 7.2 บาทต่อหน่วย พร้อมกับสำรวจความต้องการจองซื้อจากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) กองทรัสต์ฯ ได้ตอบรับอย่างคึกคักจากนักลงทุนทุกกลุ่ม แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ PROSPECT REIT และการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้จะเพิ่มรายได้และโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้น โดยภายหลังเปิดให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมในวันที่ 27 – 29 พฤษภาคม 2568 คาดว่าจะนำหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยทรัสต์ยิ่งขึ้น
นางสาวอรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ PROSPECT REIT กล่าวว่า การเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมครั้งนี้ได้รับตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน โดย PROSPECT REIT จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ในทรัพย์สินใหม่ 3 โครงการ จากบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ที่ตั้งอยู่ภายในโครงการเดียวกับทรัพย์สินที่ลงทุนในปัจจุบัน ได้แก่ (1) โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 1ถนนบางนา-ตราด กม.23 จะลงทุนในสิทธิการเช่าช่วงที่ดิน และสิทธิการเช่าอาคาร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี มีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 158,315 ตารางเมตร (2) โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 2 ถนนเทพารักษ์ จะลงทุนในสิทธิการเช่าช่วงที่ดิน เป็นระยะเวลาไม่เกิน 26 ปี และลงทุนในกรรมสิทธิ์อาคาร มีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 12,481 ตารางเมตร และ (3) โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 3 ถนนบางนา-ตราด กม.9 จะลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารของโครงการ มีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 50,882 ตารางเมตร ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568ทรัพย์สินใหม่ทั้ง 3 โครงการดังกล่าว มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยสูงที่ 96.9% 96.9% และ 100.0% ตามลำดับ
การลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้มีมูลค่ารวม 3,210 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการเสนอขายหน่วยทรัสต์ 269 ล้านหน่วย และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 1,450 ล้านบาท โดยภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมคาดว่าการจ่ายประโยชน์ตอบแทนปีแรกของ PROSPECT REIT จะเพิ่มขึ้นจาก 0.72บาทต่อหน่วย เป็น 0.87 บาทต่อหน่วย รวมถึงจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Freehold) จาก 29.2% เป็น 31.4%
ขณะที่ทรัพย์สินในปัจจุบันของ PROSPECT REIT มีการลงทุนในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าอาคารคลังสินค้า โรงงานสำเร็จรูป และอาคาร Built-to-suit ในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 1, โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 2, โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 3 และโครงการX44 ในย่านบางนา-ตราด และเทพารักษ์ ซึ่งเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่สำคัญ เชื่อมต่อกับท่าเรือกรุงเทพฯ ท่าเรือแหลมฉบัง สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และนิคมอุตสาหกรรมอีกหลายแห่ง โดยทรัพย์สินในปัจจุบันของกองทรัสต์ฯ มีพื้นที่ให้เช่ารวม 292,332 ตารางเมตร บนที่ดินรวมประมาณ 294 ไร่ ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยสูงถึง 96% และภายหลังลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 จะมีพื้นที่ให้เช่ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 514,010 ตารางเมตร
ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีใหม่กับหลายประเทศทั่วโลกที่เกินดุลการค้ารวมถึงไทยนั้น ปัจจุบัน PROSPECT REIT ยังไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีดังกล่าว เนื่องจากผู้เช่าที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก มีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนพื้นที่เช่าทั้งหมดของกองทรัสต์ และยังคงดำเนินกิจการตามปกติ โดยผู้เช่าส่วนใหญ่ประเมินว่ามาตรการภาษีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบระยะสั้น จึงปรับตัวมองหาตลาดอื่นควบคู่กัน และยังไม่มีแผนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น เนื่องจากหลายประเทศในอาเซียนก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี และการย้ายฐานการผลิตต้องเผชิญกับต้นทุนที่ รวมถึงมีผู้ลงทุนต่างชาติที่มาเจรจาเช่าพื้นที่เตรียมย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน เพื่อลดความเสี่ยงด้านผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของหสรัฐฯ ขณะที่อัตราการต่อสัญญาเช่าในไตรมาส 1/2568 สูงถึง 100% นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงลดอัตราภาษีนำเข้าเป็นระยะเวลา 90 วัน นับเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ