Daily Focus 2025: จากการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนเป็นบวกยังหนุนสินทรัพย์เสี่ยง
ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index แกว่งตัว Sideways Up ตามคาด ปรับตัวบวกเกือบ 10 จุดระหว่างวัน ก่อนจะชะลอลงเหลือปิดบวก 3.92 จุด ที่ระดับ 1,139.16 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ยังค่อนข้างเบาบาง 2.9 หมื่นลบ. ได้แรงหนุนจากหุ้นขนาดใหญ่นำโดย SCB PTTEP เป็นต้น
สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 277 ลบ. และ 1.4 พันลบ. ตามลำดับ ตามกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าภูมิภาค (ส่วนสถานะใน Index Futures ยังไม่มีนัยยะนัก ต่างชาติ Short สุทธิบางๆ 1.7 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways Up ทดสอบแนวต้านย่อยบริเวณ 1,145 จุด หากทะลุผ่านจะเปิด Upside เข้าหาแนวหลัก 1,160 จุด โดยแรงหนุนยังคงมาจากต่างประเทศหลังการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนในวันที่ 2 ออกมาโทนบวก โดยทั้งสองฝ่ายบรรลุกรอบโครงสร้างการเจรจาและนำกลับไปให้ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายอนุมัติ โดยสหรัฐฯ พร้อมที่จะผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยี โดยแลกกับจีนที่ต้องลดข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก ส่งผลให้เม็ดเงินยังทยอยไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงจากแรงกดดันด้านภาษีต่อเศรษฐกิจที่ลดลง
ขณะที่ World Bank แม้จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกลงเหลือโต 2.3% จากเดิม 2.7% แต่ประเมินโอกาสเกิด Recession น้อยกว่า 10% อย่างไรก็ตาม Upside ของ SET Index จะยังไม่กว้างนักจนกว่าสถานการณ์การเมืองจะนิ่งขึ้น ทั้งประเด็นการปรับ ครม. รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนลบ. ที่ปัจจุบันค่อนข้างล่าช้า เราจึงยังเน้นกลยุทธ์ Bottom Up เลือกลงทุนในหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว มีโมเมนตัมกำไรที่ยังเติบโตโดดเด่น และ Valuation ที่ต่ำอย่างมีนัยยะเทียบกับอดีต ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่เติบโตชะลอตัว
กลยุทธ์: ยังเน้นเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q25–2025 แข็งแกร่งและมีความแน่นอนของกำไรสูง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย.: CPALL, MTC, OSP, SJWD, STECON
FSSIA Portfolio: BA, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่น Finansia 11 มิ.ย. 25 : BDMS
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท
- เบื้องต้นเราประเมินแนวโน้มกำไร 2Q25 แม้จะชะลอ q-q จากปัจจัยฤดูกาล แต่คาดยังเติบโตได้แข็งแรง y-y โดยโมเมนตัมรายได้ในเดือน พ.ค. มีโมเมนตัมการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าเดือน เม.ย.
- เราคาดกำไรปกติปี 2025 ที่ 1.76 หมื่นลบ. +10% y-y ระยะสั้นมี Catalyst เชิงบวกหนุนหลังหนึ่งในผู้บริหารซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5 แสนหุ้นที่ราคา 21 บาท เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่ระยะสั้นราคาหุ้นยังฟื้นตัว Laggard กว่ากลุ่ม
- แนวรับ 21 บาท แนวต้าน 21.50//21.80-22 บาท
Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าภูมิภาคเกือบทุกประเทศสุทธิหนาแน่น US$2,066 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$1,490 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$466 ล้าน
ส่วนฝั่งอาเซียนไหลเข้านำโดยอินโดนีเซียและไทยประเทศละ US$44–63 ล้าน และมีเพียงฟิลิปปินส์ที่ไหลออกบางๆ US$9 ล้าน
แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังไหลเข้าต่อเนื่องจาก Sentiment บวกหลังการเจรจาการค้าสหรัฐฯ–จีนวันที่ 2 เป็นไปด้วยดี
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) Update ตัวเลขนักท่องเที่ยว สัปดาห์ที่ 23 ลดลงมาอยู่ที่จำนวน 5.7 แสนคน เฉลี่ย 8.1 หมื่นคน/วัน (-2% w-w, -4% y-y) ยังคงลดลง y-y เป็นสัปดาห์ที่ 18 แต่ลดลงในอัตราที่น้อยกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยการลดลงมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยว short haul ขณะที่กลุ่ม long haul เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการมีวันหยุดต่อเนื่องในหลายประเทศของภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้านนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงเหลือ 8.9 พันคน/วัน (-19% w-w, -48% y-y) ส่วนกลุ่ม Non-Chinese อยู่ที่ 7.20 หมื่นคน/วัน (+1% w-w และ +7% y-y) จำนวนนักท่องเที่ยวสะสม 1 ม.ค. – 8 มิ.ย. มีทั้งสิ้น 15 ล้านคน คิดเป็น 41% ของเป้าทั้งปีของสภาพัฒน์ฯ ที่ 37 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศ 7 แสนลบ. กองเศรษฐกิจและกีฬาคาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการเสร็จสิ้นการเลือกตั้งทั่วไปในเกาหลีใต้ โดยรวมเป็นบวกอ่อนๆ ต่อกลุ่มท่องเที่ยว
(+) SCGP เรามองบวกต่อการเข้าซื้อหุ้นที่เหลืออีก 30% ในบริษัท Duy Tan Plastics ของเวียดนาม มูลค่า 3.7 พันล้านบาท ทำให้ถือครองทั้งหมด 100% เพื่อขยายธุรกิจสู่กลุ่มบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำที่มีอัตรากำไรสูง โดย Duy Tan เป็นผู้นำในตลาดบรรจุภัณฑ์พลาสติกแข็งของเวียดนาม แม้สัดส่วนรายได้ยังไม่มาก (6%) แต่มี EBITDA Margin และ ROE สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ SCGP ซึ่งจะช่วยเสริมการเติบโตในระยะยาว ส่วน Fajar ในอินโดนีเซียมีแนวโน้มฟื้นตัวจากความต้องการในประเทศที่แข็งแกร่งและอุปทานที่ตึงตัว ทำให้สามารถขึ้นราคาได้ โดยคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุน EBITDA ภายใน 2Q25 ขณะที่การนำเข้ากระดาษบรรจุภัณฑ์ของจีนยังอยู่ในระดับที่ดี สะท้อนอุปสงค์ในภูมิภาคยังแข็งแกร่ง และความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีจำกัด เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากตลาดสหรัฐฯ ต่ำ และสามารถส่งออกไปตลาดอื่นทดแทนได้ยังคงประมาณการกำไรปี 2025–26 เติบโต 2% y-y และ 44% y-y ตามลำดับ คงราคาเป้าหมาย 29 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(0) คาดการณ์หุ้นเข้า-ออก SET50/100 งวด 2H25
สำหรับ SET50 หุ้นเข้า: TCAP, BCP, KKP
หุ้นออก: GLOBAL, BGRIM, ITC
ส่วน SET100 หุ้นเข้า: MBK, TFG, JTS, AURA, TOA, TVO, SVI
หุ้นออก: COCOCO, ERW, JMART, ROJNA, SAPPE, SKY, SNNP
โดย ตลท. จะประกาศผลอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของเดือน มิ.ย.
ตลาดต่างประเทศ
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 105.11 จุด หรือ +0.25%, ปิดที่ 42,866.87 จุด ขานรับความหวังที่ว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะมีความคืบหน้าและช่วยคลี่คลายข้อพิพาทด้านการค้าของทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
(0) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง ท่ามกลางการซื้อขายอย่างระมัดระวัง เนื่องจากนักลงทุนรอผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนในวันที่สองที่กรุงลอนดอน
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกต่อ หวังความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ
(-) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 32.62 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.18%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 31 เซนต์ หรือ 0.47% ปิดที่ 64.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่นักลงทุนรอคอยผลการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมทั้งจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ในวันนี้ ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 64.80 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.28%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 11.50 ดอลลาร์ หรือ 0.34% ปิดที่ 3,343.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ว่าการเจรจามีความคืบหน้า นอกจากนี้การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3,344.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.04%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 935.91 / -0.03%